คุณเฟม-เจตบดินทร์ ประคุณศึกษาพันธ์ ปั้น Aura Bangkok Clinic เติบโตสู่ Aura Wellness (ARWN) - Forbes Thailand

คุณเฟม-เจตบดินทร์ ประคุณศึกษาพันธ์ ปั้น Aura Bangkok Clinic เติบโตสู่ Aura Wellness (ARWN)

    เอ่ยชื่อ Aura Bangkok Clinic หลายคนคงคุ้นหูคุ้นตาเป็นอย่างดี โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ จากราคาที่เข้าถึงง่ายและบริการครบวงจร มากไปกว่านั้นยังเป็นคลินิกความงามรายแรกๆ ที่มักสร้างสีสันด้วยการ Collaboration กับแบรนด์ดังมากมายพร้อมกับกลยุทธ์การทำการตลาดที่ไม่เหมือนใคร จนทำให้แบรนด์เป็นที่รู้จักในวงกว้าง แต่สิ่งที่หลายคนอาจไม่รู้ คือ ตอนนี้ Aura Bangkok Clinic ไม่ได้มีแค่คลินิกเสริมความงาม แต่ในช่วงสองปีที่ผ่านมา ได้มีการแตกไลน์ธุรกิจใหม่ คือ SOLAURA แบรนด์อาหารเสริมและสกินแคร์ และ AURASOL Wellness & Spa แบรนด์สปาและนวดไทย โดยทั้ง 3 แบรนด์จะอยู่ภายใต้ Group Company เดียวกันคือ Aura Wellness (ARWN)

    อะไรคือ แนวคิดทำให้ คุณเฟม-เจตบดินทร์ ประคุณศึกษาพันธ์ ผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของ Aura Bangkok Clinic ตัดสินใจแตกไลน์ธุรกิจเพิ่มเติม โดยยังคงปักหมุดอยู่ในสมรภูมิธุรกิจที่ถือว่าเป็น Red Ocean ที่มีการแข่งขันสูง แถมยังตั้งเป้าจะพาบริษัท IPO ภายใน 3 ปีจากนี้ ไปหาคำตอบพร้อมกัน

​คุณเฟม-เจตบดินทร์ ประคุณศึกษาพันธ์

ขึ้นชื่อว่าธุรกิจไม่ว่าจะอยู่ในน่านน้ำสีไหน ก็ใช้พลังไม่ต่างกัน

    ธุรกิจคลินิกความงาม มีมูลค่าการตลาดประมาณ 50,000-70,000 ล้านบาท ขณะที่ธุรกิจอาหารเสริมและสกินแคร์ มีมูลค่าการตลาด 300,000 ล้านบาท ส่วนธุรกิจสปา มีมูลค่าการตลาดประมาณ 20,000 ล้านบาท แน่นอนว่า เบื้องหลังตัวเลขมูลค่าการตลาดมหาศาลนี้ ย่อมเต็มไปด้วยผู้เล่นมากมาย ที่หวังจะเข้ามาชิงส่วนการตลาด ทำให้ทั้งสามสมรภูมินี้ ไม่ต่างกับน่านน้ำสีเลือด (Red Ocean) แต่สำหรับคุณเฟม กลับมองว่า นี่คือโอกาสที่เขาพร้อมจะนำทัพธุรกิจ ที่ตั้งต้นจากการมีสินค้าที่ดี และกำลังพลมากความสามารถพร้อมเข้าไปชิงชัย

    "เหตุผลที่ผมเลือกทำธุรกิจที่อยู่ใน Red Ocean เพราะผมเริ่มจากการเห็นช่องว่างที่สามารถทำสินค้าและบริการในราคาที่ดีกว่าที่มีในตลาด พร้อมทั้งสามารถสื่อสารไปกับลูกค้าได้โดยตรง ซึ่งพอลูกค้าได้เห็นถึงความตั้งใจนี้ และไว้วางใจมาใช้บริการ พร้อมทั้งกลับบ้านไปอย่างมีความสุข ผมก็มีความสุขไปด้วย ดังนั้นพอคิดจะต่อยอดธุรกิจ จึงเลือกธุรกิจที่ยังได้เข้าถึงลูกค้าโดยตรง ที่สำคัญผมไม่ได้มองว่า การที่ทำธุรกิจที่อยู่ใน Red Ocean จะยากกว่าการทำธุรกิจในน่านน้ำสีอื่น เพราะไม่ว่าอยู่ในธุรกิจไหนก็ใช้ความพยายามไม่แพ้กัน เพียงแต่เราทำธุรกิจด้วยแพชชั่น และตั้งใจอยากจะขยายฐานลูกค้าที่มีให้กว้างขึ้น เพราะผมเชื่อว่า สุดท้ายแล้วเมื่อแต่ละธุรกิจของเราแข็งแรงพอ จะมา Synergy กันทั้งหมด" ซีอีโอคนเก่ง ฉายภาพให้เห็นเบื้องหลังแนวคิดที่ตัดสินใจแตกไลน์ 2 ธุรกิจใหม่

    สำหรับ SOLAURA แบรนด์อาหารเสริมและสกินแคร์ คุณเฟมบอกว่า ตั้งต้นมาจาก Pain Point ส่วนตัวที่ไปเที่ยวทะเลกับคุณแฟนมา แล้วอยากหาตัวบำรุงผิวอย่างเร่งด่วนก่อนเข้าพิธีวิวาห์ให้ว่าที่ภรรยา บวกกับได้รับฟังฟีดแบ็กจากลูกค้าที่ถูกใจในการมาดริปวิตามินผิวสูตรดังของทาง Aura Bangkok Clinic แต่ไม่สามารถมาได้บ่อยๆ จึงใช้เวลาอยู่ร่วมปีในการศึกษาและพัฒนาสูตร จนออกมาเป็นแบรนด์ SOLAURA ผลิตภัณฑ์ที่คิดค้นโดยแพทย์ความงาม กับ Hero Product อย่าง Vital IV+ วิตามินผิวกระจ่างใส สำหรับคนที่ไม่มีเวลาไปคลินิก ซึ่งเปิดตัวเมื่อปี 2566 และขายหมดล็อตแรกทันทีภายใน 1 เดือน หลังจากนั้นยังมีการขยายผลิตภัณฑ์มาสู่สกินแคร์ ประเดิมด้วยผลิตภัณฑ์กันแดด และจะเปิดตัวเซ็ตบำรุงผิวเพิ่มเติมภายในปี 2567 ส่วนธุรกิจสปาเพิ่งเริ่มได้ 3-4 เดือน

    "จริงๆ ตั้งใจจะเปิดธุรกิจสปาตั้งแต่ก่อนเกิดโควิด-19 เพราะส่วนตัวผมเองชอบนวด ชอบเข้าสปา เลยอยากทำ  แบรนด์สปาของตัวเองที่มาตรฐานดีในทุกด้าน ตั้งแต่ตัวเทอร์ราพีส บรรยากาศ ความสะอาด รวมถึงการจองคิว แต่ตอนนั้นด้วยปัจจัยหลายๆอย่างที่ยังไม่ลงตัว จึงตัดสินใจพับแผนไป ซึ่งถือเป็นความโชคดี เพราะหลังจากนั้นไม่นานก็เกิดโควิด-19 พอสถานการณ์เริ่มคลี่คลาย ผมก็ยังไม่ทิ้งแพชชั่นที่อยากจะทำ พอธุรกิจคลินิกเริ่มกลับมายืนได้อย่างแข็งแกร่งอีกครั้ง จึงเอาแผนธุรกิจสปาที่มีมาปัดฝุ่น และพัฒนาเพิ่มเติมเพื่อให้ตอบโจทย์พฤติกรรมของลูกค้าที่เปลี่ยนไป โดยจุดแข็งของ AURASOL Wellness & Spa คือ เป็นพรีเมียมสปา ที่คัดสรรเทอร์ราพีสอย่างพิถีพิถัน มีประสบการณ์มากกว่า 10 ปี พร้อมส่งมอบประสบการณ์ที่น่าประทับใจ ในราคาที่เข้าถึงได้ โดยหลังจากทดลองเปิด Pilot ให้พนักงานของเราไปใช้บริการเพื่อฟีดแบ็กและปรับปรุงทุกอย่างให้ดีที่สุดถึง 1 เดือนเต็ม ที่ตึกสาธร        นครทาวเวอร์ แล้วจึงเริ่มเปิดรับลูกค้าจริง จากนั้นเพียงแค่ 2 เดือน ก็ได้รับผลตอบรับดีมาก มีลูกค้าจองเกือบเต็มตลอด"

    อย่างไรก็ตาม แม้มองผิวเผินทั้งสามธุรกิจจะอยู่คนละกลุ่ม แต่คุณเฟมกลับมองว่า เป็นธุรกิจที่อยู่ในตลาดที่ Aura Bangkok Clinic มีความเชี่ยวชาญอยู่แล้ว จึงสามารถทำสินค้าและออกแบบบริการออกมาได้มีคุณภาพ บวกกับการตลาดถึงเข้าถึงคนยุคนี้ ทำให้กระแสตอบรับหลังจากเปิดตัวสองธุรกิจใหม่ดีเกินคาด โดยในปีหน้ามีแผนจะขยายธุรกิจต่อเนื่อง สำหรับธุรกิจสปาเปิดเพิ่ม 1 สาขา เช่นเดียวกับคลินิกความงามที่เตรียมจะเปิดสาขาเพิ่มเช่นกัน

    "ตั้งแต่ตอนทำคลินิก เราไม่ได้เน้นขยายสาขาเยอะไว้ก่อน เพราะเราให้ความสำคัญกับเรื่องคุณภาพและบริการต้องได้มาตรฐานเดียวกัน เปรียบเทียบง่ายๆ ถ้าผมจะไปใช้บริการ ผมจะไม่ต้องเลือกเลยว่าจะเข้าสาขาไหน ให้หมอท่านไหนดูแล เพราะเราคัดสรรบุคลากรมาอย่างดี ไม่ว่าไปใช้บริการที่ไหนต้องได้มาตรฐานเดียวกัน เช่นเดียวกับสปา ที่เราคัดและเทรนทีมงานมาอย่างดี ดังนั้น โจทย์ของเราเวลาจะขยายสาขา คือ เราต้องมั่นใจว่าคุมคุณภาพได้ บวกกับวิเคราะห์ว่าลูกค้าของเราอยู่ในโซนไหนเยอะ เพื่อที่จะได้ขยายสาขาไปรองรับความต้องการที่มี อย่างเช่นปีหน้า เราจะไปเปิดที่ฟิวเจอร์พาร์ค รังสิต เพราะเก็บข้อมูลแล้วว่ามีลูกค้าโซนนั้นเยอะบวกกับลูกค้าเรียกร้อง นอกจากนี้ยังมีแผนจะเปิดที่อโศกเพิ่ม เพื่อขยายการรองรับลูกค้าในโซนสยาม ทองหล่อ พระรามเก้าที่เริ่มแน่น และในอนาคต ยังมีแผนจะขยายไปที่ชลบุรี ภูเก็ต พัทยา"

​คุณเฟม-เจตบดินทร์ ประคุณศึกษาพันธ์

​Key Success คือ คุณภาพและทีมงาน

    ถ้าถามว่า อะไรคือ พลังสำคัญที่ขับเคลื่อนให้ Aura Bangkok Clinic เติบโตจนก้าวสู่ Aura Wellness (ARWN) คุณเฟม มองว่านอกจากจุดยืนที่ไม่เคยเปลี่ยน คือ ให้ความสำคัญกับคุณภาพของสินค้าเป็นตัวนำ เพราะเชื่อว่า ถ้าของดี ลูกค้ามาใช้แล้วประทับใจก็จะบอกต่อ ส่วนการทำการตลาด เป็นอีกหนึ่งองค์ประกอบสำคัญรองลงมาที่ทำให้แบรนด์เป็นที่รู้จัก

    "อย่างตอนที่เราทำอาหารเสริม และสกินแคร์ เราเลือกที่จะตั้งชื่อแบรนด์ใหม่ ทำการตลาดใหม่ทั้งหมด เพราะเราไม่ได้อยากให้ธุรกิจนี้ เป็นเพียงการแตกไลน์มาจาก Aura Bangkok Clinic แต่อยากปั้นแบรนด์ใหม่เพื่อขยายฐานลูกค้า เข้าถึงกลุ่มลูกค้าที่ Aura Bangkok Clinic ไปไม่ถึง โดยเรายังใช้สูตรสำเร็จของการทำธุรกิจแบบเดิม คือ ทำของดี เน้นคุณภาพ ซึ่งเป็นจุดยากที่สุดของ SOLAURA เพราะกว่าจะออกผลิตภัณฑ์ที่แพทย์อย่างเรารู้ดีที่สุดว่าควรเป็นอะไร ให้ตรงใจยากมากๆ จากนั้นจึงทำการตลาดที่เข้าถึงกลุ่มลูกค้า ด้วยการทำการตลาดออนไลน์ โดยมีการวางจำหน่ายสินค้าทั้งที่สาขาของ Aura Bangkok Clinic และช่องทางออนไลน์ของแบรนด์ SOLAURA ตลอดจนช่อง    ทางมาร์เกตเพลสต่างๆ ซึ่งเป็นช่องทางที่เราขายดีที่สุด เช่นเดียวกับในฝั่งของสปา เราเน้นการสร้างประสบการณ์ทั้งห้าที่ชวนให้ประทับใจตั้งแต่ก้าวแรกที่เข้ามา เหมือนหลุดเข้ามาอีกโลกหนึ่งท่ามกลางเมืองหลวงเลย ทำให้ลูกค้าที่มาประทับใจจนอยากบอกต่อทุกคน"

    นอกจากคุณภาพของสินค้าและบริการที่ต้องยืนหนึ่ง พนักงานในองค์กร ถือเป็นอีกหนึ่งหัวใจสำคัญ ที่ซีอีโอคนเก่งไม่ปล่อยผ่าน จึงให้ความสำคัญตั้งแต่กระบวนการคัดเลือกพนักงาน ไปจนถึงการสร้างวัฒนธรรมองค์กรให้อุดมไปด้วยคนเก่ง

    "เราอยากทำงานในที่แบบไหน ก็ต้องสร้างวัฒนธรรมองค์กรให้เป็นแบบนั้น เราอยากทำงานในที่ที่มีแต่คนเก่งๆ เราก็ต้องคัดพนักงานระดับหัวกะทิเข้ามาทำงาน เลยเป็นที่มาว่าทำไม การสมัครงานที่นี่ ต้องผ่านหลายด่าน ทั้งทำข้อสอบ เวิร์กช็อป ทำพรีเซนต์ แน่นอนว่าแม้ขั้นตอนจะเยอะ แต่เราพร้อมให้ค่าตอบแทนที่สูงกว่าตลาด 30% และสวัสดิการแบบจัดเต็ม เหตุผลที่เราให้ความสำคัญ เพราะมองว่า บริษัทเรายังอยู่ในช่วงต้นของ S CURVE เรารู้ว่าบุคลากรที่มีคุณภาพ วันหน้าจะเติบโตไปเป็นหัวหน้าทีมที่ดีได้ ดังนั้น เราสามารถกรูมเขาให้เติบโตไปพร้อมกับองค์กรที่ใหญ่ขึ้นไปด้วย"

    อย่างไรก็ตาม การได้คนเก่งมาร่วมทีม อาจไม่ยากเท่าการรักษาคนเก่งให้อยู่ไปนาน คุณเฟมมองว่า เป็นหน้าที่ของซีอีโอในการรักษาคนเก่ง ด้วยการวางกลยุทธ์ระยะยาวให้บริษัท เปิดโอกาสให้พนักงานได้มีโอกาสแสดงศักยภาพ และทำให้เป้าหมายบริษัทตรงกับเป้าหมายในชีวิตของพนักงาน

    "อย่างคนที่มองถึง Career Path อยากโต ไม่ต้องห่วง เพราะด้วยความที่บริษัทเรากำลังเติบโต เราขยายไปในหลายธุรกิจ เพราะฉะนั้น มีตำแหน่งงานที่พร้อมรองรับ อย่างพอเราเปิดแบรนด์ใหม่ เราก็ส่งเฮดของทีมที่มีไปปั้นธุรกิจใหม่ แต่ขณะเดียวกันในธุรกิจเดิมเราก็ยังต้องมีคนที่มีฝีมือมาช่วยสานต่องาน เพราะฉะนั้น ถ้าถามว่าคนที่มีดีเอ็นเอแบบไหนถึงจะแมตช์กับองค์กร หลักๆ อายุไม่สำคัญ แต่ต้องการคนที่มีไฟแรง พร้อมที่จะเต็มที่กับงาน"

    จากกลยุทธ์ที่ให้ความสำคัญกับการสร้างทีมนี้เอง ทำให้คุณเฟมยอมรับว่า ปัจจุบันมีกำลังสำคัญมากมายมาช่วยขับเคลื่อนองค์กรให้ก้าวไปข้างหน้า

    "ผมเชื่อว่า ยุคนี้แค่ผู้บริหารเก่งคนเดียวไม่พอ ทีมเราต้องเก่งไปด้วยกัน เพราะการทำธุรกิจ คือ การมองระยะยาว เพราะฉะนั้น ผมจะไม่ได้มองตัวเลขกำไรขาดทุนแค่ปีต่อปี แต่มองระยะ 10-20 ปี เราไม่ได้คิดว่าจะหยุดอยู่แค่บริษัทที่มีรายได้พันล้าน แต่เราตั้งเป้าจะเป็นบริษัทที่มีรายได้หมื่นล้าน และมีแผนจะ IPO เข้าตลาดหลักทรัพย์ในอีก 3 ปีข้างหน้า" คุณเฟมกล่าวทิ้งท้าย