เจาะกลยุทธ์ ‘ชาบูชิ’ ทำไมต้องแบ่งลูกค้า เป็นกลุ่มห้างและไฮเปอร์มาร์เก็ต? - Forbes Thailand

เจาะกลยุทธ์ ‘ชาบูชิ’ ทำไมต้องแบ่งลูกค้า เป็นกลุ่มห้างและไฮเปอร์มาร์เก็ต?

เมื่อพูดถึงร้านบุฟเฟต์สไตล์ญี่ปุ่น “ชาบูชิ” ยังคงเป็นชื่อแรกๆ ที่ผู้บริโภคชาวไทยนึกถึง แต่ท่ามกลางพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปและทำเลร้านที่หลากหลาย แบรนด์จึงเลือกเดินเกมใหม่ด้วยการ “แบ่งลูกค้าออกเป็น 2 กลุ่มหลัก” คือ สาขาในห้างสรรพสินค้า กับสาขาในไฮเปอร์มาร์เก็ต แล้วทำไมชาบูชิต้องวางกลยุทธ์แบบนั้น?


    ในฐานะแบรนด์ร้านอาหารญี่ปุ่นที่อยู่ในใจผู้บริโภคมายาวนาน “ชาบูชิ” (Shabushi) ยังคงเดินหน้าพัฒนาอย่างไม่หยุดนิ่ง ทั้งในด้านสินค้า บริการ และประสบการณ์การรับประทานอาหาร ภายใต้แนวคิด “Good Taste Great Time Never End” หรือ “รสชาติความสุขไม่สิ้นสุด” เป้าหมายคือการตอบโจทย์ลูกค้ายุคใหม่ให้ครอบคลุมทุกกลุ่มและทุกโอกาสการบริโภค

    หนึ่งในกลยุทธ์สำคัญที่ชาบูชินำมาใช้ในปีนี้คือ Segmentation Marketing หรือการทำการตลาดแบบ “แยกกลุ่มลูกค้าอย่างชัดเจน” โดยใช้ข้อมูลเชิงลึกด้านพฤติกรรมและทำเล (Location-Based Behavior) เพื่อออกแบบประสบการณ์ที่เหมาะสมกับลูกค้าแต่ละประเภท ส่งผลให้เกิด “สองเซกเมนต์หลัก” ที่สะท้อนตัวตนและความต้องการแตกต่างกัน ได้แก่

    1. สาขาใน ห้างสรรพสินค้า – เน้น “Lifestyle & Experience”

    2. สาขาใน ไฮเปอร์มาร์เก็ต – เน้น “Value & Convenience”


สาขาในห้างสรรพสินค้า: ร้านแห่งประสบการณ์และไลฟ์สไตล์

    ชาบูชิในห้างฯ ไม่ได้ขายแค่บุฟเฟ่ต์ แต่ขาย “ประสบการณ์” ที่เหนือกว่า ด้วยการเปิดตัวร้านดีไซน์ใหม่ที่ยกระดับภาพลักษณ์ให้ทันสมัยและตอบรับพฤติกรรมผู้บริโภคที่มองหาร้านอาหารคุณภาพในบรรยากาศพิเศษ

    จุดเด่นสำคัญคือ “Sushi-Master Station” ครัวเปิดที่ให้ลูกค้าได้ชมทุกขั้นตอนของการทำซูชิแบบสดใหม่ ตั้งแต่การคัดวัตถุดิบไปจนถึงการจัดเสิร์ฟอย่างประณีต เพิ่มทั้งความมั่นใจและความเพลิดเพลินในทุกมื้อ


    ด้านเมนู ชาบูชิในห้างฯ นำเสนอ 3 ระดับบุฟเฟต์ให้เลือกตามสไตล์การรับประทาน ได้แก่

    • Regular Buffet (สุขอิ่ม) 399 บาท+
    • Premium Buffet (สุขคุ้ม) 499 บาท+
    • Platinum Buffet (สุขล้น) 599 บาท+

    แต่ละระดับออกแบบมาให้ตอบโจทย์ทั้งความหลากหลาย คุณภาพ และความคุ้มค่า ปัจจุบันร้านดีไซน์ใหม่นี้เปิดให้บริการแล้วในหลายพื้นที่ เช่น ซีคอนสแควร์ ศรีนครินทร์, เซ็นทรัล ขอนแก่น, เซ็นทรัล ปิ่นเกล้า, จังซีลอน ภูเก็ต และเตรียมเปิดต่อเนื่องในศูนย์การค้าชั้นนำทั่วประเทศ เพื่อสร้างภาพจำแบรนด์ที่ทันสมัยและพรีเมียมยิ่งขึ้น


สาขาในไฮเปอร์มาร์เก็ต: ร้านแห่งความคุ้มค่าและความสะดวก

    ในอีกด้านหนึ่ง ชาบูชิในไฮเปอร์มาร์เก็ต เช่น บิ๊กซี โลตัส หรือคอมมูนิตี้มอลล์ ต่างๆ มุ่งตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าที่ให้ความสำคัญกับ “ความคุ้มค่า” และ “ความสะดวกสบาย”

    ชาบูชิได้เปิดตัวบุฟเฟต์ใหม่ “ซูเปอร์คุ้ม” 259 บาท+ (บุฟเฟต์หมูหมู) ที่เน้นอิ่มครบจบในราคาสบายกระเป๋า มีทั้งชาบูหมู ไก่ ลูกชิ้น ผักสด อาหารทานเล่น ผลไม้ ไอศกรีม และเครื่องดื่ม รวมกว่า 50 เมนู พร้อมทางเลือกอัปเกรด “คุ้มพลัส” เพิ่มเพียง 39 บาท+ ก็สามารถเลือกเมนูสุดฮิตอย่างกุ้งสด เนื้อสไลซ์ หรือซีฟู้ดได้ทันที

    นอกจากนี้ ยังมีบุฟเฟต์ “สุขอิ่ม” 399 บาท+ สำหรับลูกค้าประจำที่ต้องการประสบการณ์เต็มรูปแบบ ทั้งชาบู ซูชิ เทมปุระ และของหวานกว่า 70 รายการ

    ชาบูชิในไฮเปอร์มาร์เก็ตเปิดให้บริการแล้วกว่า 72 สาขาทั่วประเทศ ตั้งแต่วันที่ 7 ตุลาคม – 31 ธันวาคม 2568 เพื่อกระตุ้นกำลังซื้อช่วงปลายปี และสร้างความคึกคักให้ตลาดอาหาร


กลยุทธ์เดียวกัน เป้าหมายต่างกัน แต่หัวใจคือ “เข้าใจลูกค้า”

    แนวทางการแบ่งกลุ่มลูกค้าเชิงพื้นที่นี้สะท้อนถึงวิสัยทัศน์ของชาบูชิในการใช้ข้อมูล “Insight-Driven” มาวางกลยุทธ์อย่างแม่นยำ เพื่อสร้างสมดุลระหว่าง “ประสบการณ์ที่เหนือกว่า” สำหรับคนเมืองที่ต้องการความพรีเมียม กับ “คุณค่าที่จับต้องได้” สำหรับกลุ่มที่มองหาความคุ้มค่าและสะดวกสบาย

    ทั้งหมดนี้มุ่งให้ลูกค้าทุกคนไม่ว่าจะอยู่ในห้างหรือในไฮเปอร์มาร์เก็ต ได้สัมผัส “รสชาติความสุขไม่สิ้นสุด” ในแบบที่เหมาะกับตัวเองที่สุด

    และนั่นคือเหตุผลที่ “ชาบูชิ ต้องแบ่งลูกค้าเป็นในห้างกับไฮเปอร์มาร์เก็ต” ไม่ใช่เพื่อแยกความแตกต่าง แต่เพื่อ “ตอบใจลูกค้าได้ตรงจริต” ทุกกลุ่มอย่างแท้จริง



ภาพ: ชาบูชิ



เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : ตอกย้ำศูนย์การค้าใหญ่สุด แห่งกรุงเทพฯ ตะวันออก! ‘เมกาบางนา’ รุกเสริมพอร์ตด้วยร้านดัง พร้อมทุ่ม 88 ล้าน จัดเต็มอีเวนต์ช่วง Q4

ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine