SCGP ประกาศกำไรเพิ่ม 22% จากไตรมาสก่อนอยู่ที่ 1.5 พันล้านบาทและรายได้ 3.22 หมื่นล้านบาทในไตรมาส 2 ปีนี้ พร้อมรุกลงทุนในอาเซียนรองรับตลาดฟื้นตัว เดินหน้าพัฒนานวัตกรรมระดับโลกBio-based Plastic จากชิ้นไม้ยูคาลิปตัสสับ และ Wooden Foodservice Packaging จากไม้ยูคาลิปตัสหนุนการใช้ทรัพยากรทดแทน
วิชาญ จิตร์ภักดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทเอสซีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ SCGP เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานไตรมาสที่ 2 ของปี 2566 สามารถทำกำไรเพิ่มขึ้น แม้ยอดขายชะลอตัวจากไตรมาสก่อนหน้า เนื่องจากยอดขายของสายธุรกิจบรรจุภัณฑ์ครบวงจรที่ปรับลดลง โดยมีปัจจัยหลักมาจากการชะลอตัวของตลาดอินโดนีเซียซึ่งมีวันหยุดราชการยาวในไตรมาสที่ผ่านมา โดยมีรายได้จากการขาย 3.22 หมื่นล้านบาท ลดลง 4% จากไตรมาสก่อนหน้า EBITDA 4.68 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 5% จากไตรมาสก่อนหน้า และมีกำไรสำหรับงวด 1.49 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 22% จากไตรมาสก่อนหน้า
สำหรับกำไรในไตรมาสที่ 2 ของปี 2566 ที่เติบโตเกิดจากการวางกลยุทธ์บริหารจัดการต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพอย่างต่อเนื่อง ทั้งการบริหารและเพิ่มประสิทธิภาพฐานการผลิตในประเทศต่างๆ การเสริมแกร่งระหว่างธุรกิจทั้งในและต่างประเทศ การรวมคำสั่งซื้อวัตถุดิบและจองระวางเรือขนส่งสินค้า และเพิ่มการขายสินค้าหรือบริการที่เกี่ยวเนื่อง (Cross-Selling) นอกจากนี้ ยังได้รับปัจจัยหนุนจากต้นทุนวัตถุดิบและราคาพลังงานที่ลดลง รวมถึงค่าระวางเรือขนส่งสินค้า ตลอดจนการปรับสัดส่วนการผลิตสินค้าให้สอดคล้องกับสถานการณ์ตลาด โดยเพิ่มการผลิตเยื่อเคมีละลายน้ำได้ (Dissolving Pulp) ซึ่งมีราคาขายที่ดี เพื่อตอบสนองความต้องการใช้งานในอุตสาหกรรมสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่มที่เพิ่มขึ้น
ขณะที่ภาพรวมความต้องการใช้บรรจุภัณฑ์สำหรับสินค้าอุปโภคบริโภคในภูมิภาคอาเซียนฟื้นตัวต่อเนื่อง โดยเฉพาะบรรจุภัณฑ์กลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม บรรจุภัณฑ์อาหารแช่แข็งและอาหารกระป๋อง และบรรจุภัณฑ์เพื่อส่งออกผลไม้ยังประเทศจีนปริมาณสูงมาก รวมถึงปริมาณการขายกระดาษพิมพ์เขียนที่เพิ่มขึ้นในช่วงเปิดภาคการศึกษาและการเลือกตั้งที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม บริษัทยังคงเผชิญความท้าทายจากเศรษฐกิจทั่วโลกที่ยังผันผวน แรงกดดันด้านเงินเฟ้อ การปรับขึ้นของอัตราดอกเบี้ย และความสามารถในการใช้จ่ายของผู้บริโภคลดลง ทำให้การส่งออกสินค้าในกลุ่มสินค้าคงทนและสินค้าฟุ่มเฟือยชะลอตัว
นอกจากนี้ SCGP ยังมีงบดุลและโครงสร้างเงินทุนที่แข็งแกร่งสำหรับการขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่อง โดยบริษัทได้ตั้งงบประมาณการลงทุน (CAPEX) สำหรับปี 2566 ไว้รวม 1.8 หมื่นล้านบาท ซึ่งแบ่งเป็นงบสำหรับการขยายธุรกิจผ่านการควบรวมกิจการ (Merger & Partnership) ประมาณ 9 พันล้านบาท โดยบริษัทยังมีการบันทึกบัญชีรายการในงบดุลคิดเป็นมูลค่ารวม 2.32 หมื่นล้านบาทในไตรมาสที่ 2 ของปี 2566เพื่อรองรับความเป็นไปได้ในการลงทุนซื้อหุ้นใน PT Fajar Surya Wisesa Tbk. (Fajar) ประเทศอินโดนีเซีย ซึ่งจะเป็นการซื้อจากผู้ถือหุ้นเดิมเพิ่มเติมจำนวนร้อยละ 44.48 โดยคาดว่าธุรกรรมนี้จะเกิดขึ้นในช่วงประมาณกลางปี 2567
วิชาญ กล่าวว่า แนวโน้มภาพรวมอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์ครึ่งปีหลังในภูมิภาคอาเซียนคาดว่าจะฟื้นตัวต่อเนื่อง จากการบริโภคภายในประเทศและภาคการท่องเที่ยว รวมถึงการใช้บรรจุภัณฑ์เพื่อเตรียมรับเทศกาลในช่วงปลายปี อย่างไรก็ตาม ยังคงต้องติดตามสถานการณ์เศรษฐกิจโลกและปัจจัยต่างๆ โดยเฉพาะการส่งออกจากอาเซียนไปยังประเทศปลายทางแถบยุโรป ซึ่งความสามารถในการใช้จ่ายของผู้บริโภคยังคงชะลอตัว โดยราคาต้นทุนพลังงานมีแนวโน้มที่จะอยู่ในระดับต่ำต่อไปถึงช่วงก่อนเข้าสู่ฤดูหนาว ในขณะที่ราคาวัตถุดิบกระดาษรีไซเคิล (RCP) มีแนวโน้มทรงตัว ซึ่ง SCGP ยังคงบริหารจัดการต้นทุนอย่างต่อเนื่อง
ขณะเดียวกันบริษัทได้มุ่งรักษาการเติบโตอย่างมีคุณภาพ ด้วยการเดินหน้าตามกลยุทธ์การขยายธุรกิจบรรจุภัณฑ์สำหรับสินค้าอุปโภคบริโภคในอาเซียน ซึ่งเป็นกลุ่มที่ยังมีผลการดำเนินงานที่ดีและเป็นกลยุทธ์ที่สร้างการเติบโตและความแข็งแกร่งให้กับ SCGP โดยเฉพาะในประเทศเวียดนามและประเทศอินโดนีเซีย ซึ่งมีศักยภาพเติบโตสูง โดยได้เตรียมเข้าลงทุนใน Starprint Vietnam JSC (SPV) ประเทศเวียดนาม คาดว่าจะเสร็จสิ้นในปลายไตรมาสที่ 3 ของปี 2566 เพื่อรองรับการอุปโภคบริโภคสินค้าบรรจุภัณฑ์กระดาษที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในประเทศเวียดนาม เสริมความครบวงจรและการผนึกกำลังร่วมกันระหว่างบริษัทย่อยอื่นๆ ในประเทศเวียดนามของ SCGP
นอกจากนั้น SCGP ได้ทุ่มเทในการพัฒนานวัตกรรมและโซลูชันเพื่อตอบโจทย์ผู้บริโภค โดยอยู่ระหว่างร่วมกับออริจิ้น แมตทีเรียลส์ (Origin Materials) ในการพัฒนา Bio-based Plastic จากชิ้นไม้ยูคาลิปตัสสับ ซึ่งผลทดสอบล่าสุดได้ผ่านขั้นตอนการทดสอบในห้องแล็ปและการปรับคุณสมบัติที่เหมาะสมเรียบร้อยแล้วผลเป็นที่น่าพอใจ พร้อมเข้าสู่ขั้นตอน Pilot Plant Scale และเลือกพันธมิตรเพื่อร่วมมือพัฒนาในขั้นตอนต่อไป
นอกจากนี้ SCGP ยังได้ทำการวิจัยและพัฒนา Wooden Foodservice Packaging จากไม้ยูคาลิปตัส เพื่อสนับสนุนการใช้ทรัพยากรทดแทน ตอบโจทย์เทรนด์การใช้บรรจุภัณฑ์อาหารรักษ์โลกที่สามารถย่อยสลายได้ และเพิ่มมูลค่าให้แก่ไม้ยูคาลิปตัส ซึ่งเป็นพืชเศรษฐกิจในอาเซียน และสร้างคุณค่าให้แก่ผู้มีส่วนได้เสียตั้งแต่ต้นทางการปลูกจนถึงการแปรรูปไม้ยูคาลิปตัส ซึ่งจะช่วยสร้างรายได้และสิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืน
ทั้งนี้ SCGP ยังคงมุ่งขับเคลื่อนธุรกิจตามแนวคิด ESG 4 Plus ทำให้บริษัทฯ เป็นที่ยอมรับและล่าสุด Sustainalytic ยังได้ประเมินอันดับ ESG Risk Ratings ของ SCGP ให้อยู่ในระดับ Low Risk ของกลุ่มอุตสาหกรรม Container & Packaging
อ่านเพิ่มเติม : "SABINA" ส่งคอลเลคชั่น "บาร์บี้" กระตุ้นตลาดไตรมาส 3 รับกระแสภาพยนต์
ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine