‘กลุ่ม รพ.รามคำแหง’ รีแบรนด์ครั้งใหญ่ ขอลบภาพโรงพยาบาลคนแก่ ปรับภาพลักษณ์ ขยายฐานสู่คนรุ่นใหม่ - Forbes Thailand

‘กลุ่ม รพ.รามคำแหง’ รีแบรนด์ครั้งใหญ่ ขอลบภาพโรงพยาบาลคนแก่ ปรับภาพลักษณ์ ขยายฐานสู่คนรุ่นใหม่

กลุ่มโรงพยาบาลรามคำแหง ลบภาพโรงพยาบาลคนแก่ รีแบรนดิ้งครั้งใหญ่สุดในรอบ 37 ปี ปรับภาพลักษณ์ดึงคนรุ่นใหม่เปลี่ยนผ่านบริการจาก Sick Care สู่ Health Care เผยขอหยุดลงทุน green field 3 ปี หันเน้นแบบ Brownfield และลงทุนในบริษัทย่อยแทน เพื่อเติบโตอย่างยั่งยืน


    นพ.พิชญ สมบูรณสิน ประธานกรรมการบริหาร บริษัท กลุ่มบริษัท โรงพยาบาลรามคำแหง จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ทางกลุ่มได้ทำการ “Rebranding” โรงพยาบาลรามคำแหง เพื่อสร้าง “brand awareness” และการเข้าถึงสู่ฐานผู้รับบริการคนรุ่นใหม่ ตลอดจนผู้ป่วยต่างชาติที่มองหาการดูแลเชิงป้องกันและส่งเสริมสุขภาพ (Preventive & Wellness) ก่อนป่วย

    “การรีแบรนดิ้งครั้งนี้จะช่วยสื่อสารตัวตนที่ชัดเจนของโรงพยาบาล ผ่านภาพลักษณ์ใหม่ที่ทันสมัย เป็นการสร้างอัตลักษณ์ใหม่ที่แข็งแกร่ง สะท้อนตัวตนของกลุ่ม รพ.รามคำแหง ทั้งในด้าน Caring, Trusted, Expertise และ Collaborative ผ่านความหลากหลายของเครือข่าย รองรับความต้องการของผู้บริโภคยุคใหม่ที่มีความคาดหวังสูง”

    สำหรับภาพยนตร์โฆษณาชุดใหม่ จะสื่อสารผ่านโซเชียลมีเดีย สื่อให้เห็นว่าทางกลุ่ม รพ.รามคำแหงไม่ได้มีความเชี่ยวชาญในการรักษาโรคซับซ้อนให้เฉพาะผู้สูงอายุเท่านั้นเหมือนในอดีต แต่ยังมีบริการดูแลสุขภาพแบบองค์รวม ด้วยเทคโนโลยีการแพทย์ที่ทันสมัย และมอบประสบการณ์ที่ดีจากตลอดการเข้ารับบริการ และพัฒนาศักยภาพการรักษาพยาบาลอย่างไม่หยุดยั้ง อีกทั้งยังมีศูนย์บริการเฉพาะทางสมองและระบบประสาท และศูนย์ผ่าตัดส่องกล้อง หู คอ จมูก ที่มีชื่อเสียงมาอย่างยาวนาน

    ทั้งนี้ นี่นับเป็นการรีแบรนด์ครั้งใหญ่สุดตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทมา 37 ปีเต็ม นอกจากการปรับเปลี่ยนโลโก้ของกลุ่ม รพ.รามคำแหงใหม่แล้ว บริษัทยังหันมามุ่งเน้นเปลี่ยนผ่านบริการจาก Sick Care สู่ Health Care เน้นการป้องกันซึ่งเป็นวิถีของคนรุ่นใหม่มากกว่าเน้นการรักษา

    “เนื่องจากผู้บริโภคในปัจจุบันไม่ได้ต้องการแค่รักษาเมื่อเจ็บป่วย แต่ต้องการการดูแลสุขภาพแบบองค์รวม ตั้งแต่การป้องกัน การส่งเสริมสุขภาพ ไปจนถึงการฟื้นฟู การเดินหน้าปรับภาพลักษณ์ใหม่ของเรา จึงถูกออกแบบมาเพื่อสื่อสารว่าเราพร้อมเป็น สถาบันทางการแพทย์ครบวงจรของภูมิภาค ที่พร้อมดูแลสุขภาพในทุกมิติของชีวิต ไม่ใช่โรงพยาบาลที่เน้นเพียงการรักษาโรค” นพ. พิชญกล่าว

    นอกจากปรับภาพลักษณ์แล้ว บริษัทยังคงเดินหน้าลงทุนในลักษณะ Brownfield, M&A และ Partnership ในอีก 3 ปีข้างหน้า โดยเน้นการเข้าไปลงทุนในบริษัทย่อย เพื่อเสริมศักยภาพและสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน โดยล่าสุดได้เพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นในกลุ่มโรงพยาบาลธนบุรี เป็นส่วนหนึ่งทำให้ทางโรงพยาบาล ซึ่งจะมีรายได้สูงขึ้นราว 40% ในปีนี้


    “เราหันมาขยายธุรกิจแบบ brownfield มา 2 ปีกว่า และจะเป็นกลยุทธ์ที่ใช้ต่อเนื่องไปในอนาคต เพราะ 3 ปีจากนี้เราจะขอหยุดการขยายการลงทุนแบบ greenfield ชั่วคราว” ดร.ฤกขจี กาญจนพิทักษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัท โรงพยาบาลรามคำแหงและบริษัทในเครือ กล่าว

    ปัจจุบันกลุ่มโรงพยาบาลรามคำแหงมีเครือข่ายโรงพยาบาลรวม 46 แห่งทั่วประเทศ เป็นโรงพยาบาลของกลุ่มรามคำแหง 13 แห่งทั่วประเทศ และอีก 28 แห่งเป็นโรงพยาบาลพันธมิตรชั้นนำทั่วประเทศ อาทิ โรงพยาบาลวิภาราม โรงพยาบาลธนบุรี โรงพยาบาลสินแพทย์ และโรงพยาบาลวิภาวดี ซึ่งล้วนเป็นโรงพยาบาลมาตรฐานสากล (Joint Commission International: JCI), มาตรฐาน AACI และมาตรฐาน HA ทำให้มีจุดแข็งระบบการส่งต่อผู้ป่วยภายในเครือข่าย ที่ช่วยให้ผู้ป่วยได้รับการดูแลอย่างครบวงจร

    การร่วมมือกับ รพ.เครือข่ายทำให้บริษัทสามารถมี flagship hospital บริการคนไข้ครอบคลุมทุกภูมิภาค อาทิ เชียงใหม่-ราม ในภาคเหนือ เครือข่ายของรพ.ธนบุรี ที่ให้บริการในภาคใต้ รพ.เมืองเลย และ รพ.ขอนแก่น-ราม ในภาคอีสาน และ รพ.รามคำแหง และวิภาราม ทางฝั่งตะวันออกของกรุงเทพฯ และ รพ.ธนบุรีในฝั่งตะวันตก การมีโรงพยาบาลพันธมิตรที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านที่แตกต่างกัน และมีโรงพยาบาลที่รับรักษาคนไข้ทั้งเงินสดและทุกสิทธิการรักษา ไม่เพียงช่วยเติมเต็มบริการให้ลูกค้าได้ตลอดทั้ง Healthcare Ecosystem เท่านั้น แต่ยังช่วยกระจายความเสี่ยงจากการทำธุรกิจสุขภาพที่ครอบคลุมทุกความต้องการด้วย

    ปัจจุบันทางกลุ่ม รพ.รามคำแหง มีจำนวนเตียงให้บริการรวม 7,800 เตียง นับเป็นผู้นำกลุ่มโรงพยาบาลเอกชนอันดับ 2 ของประเทศไทยในแง่จำนวนเตียงที่ให้บริการ


    ดร.ฤกขจี กล่าวว่า ทางกลุ่มได้วางกลยุทธ์ภายใต้ยุทธศาสตร์ “RAM 2.0, The New Era of Ram Hospital Group” ต่อยอดจากความเชื่อของผู้ก่อตั้ง เข้ากับแนวทางการดำเนินงานยุคใหม่ ได้แก่ Clinical Excellence ซึ่งเป็นการยกระดับขีดความสามารถทางการแพทย์ ผ่านเทคโนโลยีและบุคลากรระดับแนวหน้า, Network Synergy สร้างความร่วมมืออย่างเป็นระบบในเครือข่าย, Asset Optimization เพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการสินทรัพย์,Strategic Expansion เดินหน้าการลงทุน การควบรวมกิจการ (M&A) ผ่านการลงทุนในบริษัทย่อย และ ESG Commitment เพื่อรองรับการเติบโตของกลุ่ม รพ. รามคำแหง และการเติบอุตสาหกรรมสุขภาพอย่างยั่งยืน และการขยายฐานผู้เข้ารับบริการคนรุ่นใหม่

    บริษัทคาดว่าการเติบโตของกลุ่มโรงพยาบาลทั้งเครือในปีนี้เพิ่มขึ้น 40% จากปีก่อนหน้าหรือคิดเป็นรายได้ 14,495 ล้านบาท ติดอันดับ 3 ของโรงพยาบาลเอกชนที่ทำรายได้สูงสุด จากในปีที่ผ่านมาที่กลุ่มโรงพยาบาลรามคำแหงมีรายได้ 10,228.87 ล้านบาท

    นพ.พิชญ กล่าวต่อว่า ตลอดระยะเวลา 37 ปีที่ผ่านมา กลุ่มโรงพยาบาลรามคำแหงได้พิสูจน์ให้เห็นถึงความแข็งแกร่ง (Resilience) ในการยืนหยัดผ่านวิกฤตการณ์ต่างๆ ทั้งเรื่องเศรษฐกิจ ความไม่สงบทางการเมือง ภัยธรรมชาติ โดยเฉพาะวิกฤตโควิด-19 แต่ทางกลุ่มยังเติบโตอย่างต่อเนื่องจากความเป็นเลิศทางการแพทย์

    “เป้าหมายของเรามากกว่าแค่การเป็นศูนย์การแพทย์ครบวงจร การก้าวไปข้างหน้าพร้อมๆ กับการพัฒนาศักยภาพอย่างต่อเนื่อง จะเป็นฟันเฟืองสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศไทย สู่การเป็น Medical Hub ชั้นนำของภูมิภาคที่มีศักยภาพดึงดูดผู้เข้ารับบริการจากทั่วโลก” นพ.พิชญ กล่าว


    ทีโบ สปิทาคิส ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายการตลาด บริษัท โรงพยาบาลรามคำแหง จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ปัจจุบันสัดส่วนผู้ป่วยของกลุ่มโรงพยาบาลรามคำแหงกว่า 95% เป็นคนไทย และที่เหลืออีก 5% เป็นผู้รับบริการต่างชาติจากอาเซียนและประเทศเพื่อนบ้าน บริษัทคาดว่าการ Rebranding ครั้งนี้จะทำให้ รพ.ราม มี Modernise image สามารถดึงผู้รับบริการที่เป็น young age ถึง middle age มาใช้บริการมากขึ้น และเพิ่มสัดส่วนลูกค้าต่างชาติได้ถึง 10% ในอนาคต

    “ก่อนหน้านี้เราเน้น medical service ไม่ได้เน้นทำการตลาด ผู้ใช้บริการจึงไม่เข้าถึง detail ในบริการของเรา วันนี้เรามาตอกย้ำตัวตนของเราคือการเป็นโรงพยาบาลที่เน้น patient centric ถือเป็น new era ของกลุ่มโรงพยาบาลรามฯ ที่หวังว่าจะกลายเป็น Top of Mind ใน Health Care Brand ของเมืองไทยในอนาคตอันใกล้” ทีโบกล่าว



ภาพ: กลุ่มโรงพยาบาลรามคำแหง



เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : อ่านสาเหตุธุรกิจโรงพยาบาลเอกชนไทยปี 68 จะโตต่ำที่ 3% หลังจากช่วงสิบปีก่อนหน้าโตถึง 11.6% ต่อปี

ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine