‘เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์’ รุกตลาดโรงหนังสำหรับเด็ก ตั้งเป้าขยายครบ 40 สาขา ในปี 2568 - Forbes Thailand

‘เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์’ รุกตลาดโรงหนังสำหรับเด็ก ตั้งเป้าขยายครบ 40 สาขา ในปี 2568

เมเจอร์ วางกลยุทธ์รุกหนักตลาดโรงภาพยนต์ ตั้งเป้าขยายสาขา Kids Cinema ให้ครบ 40 สาขา ภายในปี 2568 ผนึกกำลังพันธมิตร Naming Sponsor ให้เพิ่มขึ้นเป็น 12 ราย พร้อมขยายตลาด ‘‘ป๊อปคอร์น’ ออกไปยังพื้นที่นอกโรงหนังเพิ่มขึ้น


    นรุตม์ เจียรสนอง รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายการตลาด บริษัท เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป จำกัด (มหาชน) เผยว่า ปัจจุบันเมเจอร์ ซินีเพล็กซ์ ครองส่วนแบ่งตลาดภาพยนตร์กว่า 70% มีฐานแฟนๆ คนที่ชื่นชอบการดูหนังกว่านับสิบล้านรายครอบคลุมตั้งแต่กลุ่มเด็ก วัยรุ่น ไปจนถึงกลุ่มผู้ใหญ่  โดยช่วงครึ่งแรกของปี 2567 นี้ มีหนังไทยถึง 6 เรื่อง ที่ทำรายได้เกิน 100 ล้าน และขายสิทธิ์ไปยังตลาดต่างประเทศได้ หนุนปริมาณและคุณภาพหนังไทยดึงดูดคนดู นอกเหนือจากหนังฮอลลีวูดที่ยังเป็นแม่เหล็กแข็งแรงในช่วงไตรมาส 3 และ 4 

    “โรงภาพยนตร์จอยักษ์ IMAX เรามีการวางหนังฟอร์มยักษ์ทุกสัปดาห์ คนแน่นมาก ถือเป็นการอุ่นเครื่องสู่ปีหน้า 2568 ซึ่งคาดการณ์ว่าน่าจะเป็นปีที่ดีสุด ของเมเจอร์ฯ เพราะเปิดรายชื่อหนังบล็อกบัสเตอร์ปีหน้ามีจำนวนมากสุดเท่าที่เคยมีมา” ผู้บริหารของดรงหนังเมเจอร์ กล่าว

    ทั้งนี้ ในส่วนของกลยุทธ์การตลาด ปี 2567 จะยังคงวางแผนรุกตลาดมากกว่าเดิม โดยการขยายโรงภาพยนตร์สำหรับเด็ก Kids Cinema เพิ่มขึ้นอีก 7 สาขา ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด จากปัจจุบันมี 14 สาขา เช่น ไอคอน ซีเนคอนิค, ควอเทียร์ ซีเนอาร์ต, พารากอน ซีนีเพล็กซ์, เมกา ซีนีเพล็กซ์, เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ รัชโยธิน ควบคู่ไปกับการขยายฐานสมาชิกบัตร MGEN KIDS ให้ครบ 250,000 สมาชิก ภายในปีนี้ และตั้งเป้ายอดขายตั๋วหนังสำหรับกลุ่มเด็กและครอบครัวแตะ 1 ล้านใบ รวมทั้งตั้งเป้าขยายสาขาเพิ่มอีกเท่าตัวให้ครบ 40 สาขา ภายในปีหน้า 2568  

    "จุดเด่นของโรงภาพยนตร์ Kids Cinema ของเมเจอร์ คือการฉายหนังตัวอย่างซึ่งเป็นหนังที่เหมาะสำหรับเด็กเท่านั้น และเพิ่มแสงสว่าง +20% ลดเสียงลง -30% มีบ่อบอลขนาดใหญ่ และสไลเดอร์ให้เด็กสนุกได้ในโรงหนังตลอดการชมภาพยนตร์ ต่อเนื่องไปถึงกิจกรรมเวิร์กชอปอย่าง การระบายสี เพนท์หน้า ก่อนเข้าชมภาพยนตร์ รวมทั้งสามารถจัดงาน 'ปาร์ตี้วันเกิด' ให้เด็กๆ ได้ในโรงภาพยนตร์ได้สนุกสนานไปการดูหนังพร้อมกับกิจกรรมต่างๆ แบบครบจบในที่เดียว" นรุตม์ อธิิบายเพิ่มเติม


    นอกจากนี้ อีกหนึ่งกลยุทธ์ที่ทางเมเจอร์วางไว้  ก็คือการผนึกกำลังพันธมิตร ‘Naming Sponsor’ เพื่อสร้างผลลัพธ์ Win-Win Strategies โดยปีนี้ เมเจอร์ฯ ตั้งเป้ามี Naming Sponsorใหม่ รวม 12 ราย จากครึ่งปีแรกมีสปนเซอร์แล้วถึง 6 ราย

    โดยตัวอย่างความสำเร็จที่ผ่านมา คือ การผนึกกำลังกับ LAZADA ซึ่งต้องการขยายตลาดสินค้าหมวดแม่และเด็ก จึงได้เนรมิตโรงภาพยนตร์ 'LAZADA Kids Cinema' ที่ควอเทียร์ ซีเนอาร์ตขึ้นมา ซึ่งเมเจอร์ฯ มีการการแจกคูปอง แบ่งปันข้อมูล (Database) กระตุ้นกลุ่มเป้าหมายไปชอปปิงสินค้าแม่และเด็กบนแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซของลาซาด้าเพิ่มขึ้น รวมถึงจัดกิจกรรมสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้า (CRM) ให้ลูกค้าที่มียอดใช้จ่ายสูง (Top Spender) ทำกิจกรรมเพื่อสังคมพาเด็กด้อยโอกาสมาดูหนังมอบความบันเทิงคู่ความรู้ (Edutainment) มากยิ้งขึ้น

    อย่างไรก็ตาม นอกจากสองกลยุทธ์หลักที่กล่าวมาแล้ว ทางเมเจอร์ยังวางแผนขยายตลาด ‘ป๊อปคอร์น’ ออกไปยังพื้นที่นอกโรงภาพยนตร์ เช่น ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ศูนย์การค้าสามย่านมิตรทาวน์ สีลมเอจ อีกด้วย





เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : 'กันตนา กรุ๊ป' เปิดตัว Blue Project ทายาทรุ่น 3 ปรับกระบวนทัพสร้างคอนเทนต์ทุกแพลตฟอร์มสู้ศึกยุคดิจิทัล

ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine