ลอรีอัล เผย ปี 67 ยอดขายจากทั่วโลก 4.35 หมื่นล้านยูโร ธุรกิจโต 5.1% ครองแชมป์ตลาดความงามในไทย พร้อมดึงแบรนด์ 3CE และ Aesop เข้าพอร์ตโฟลิโอ - Forbes Thailand

ลอรีอัล เผย ปี 67 ยอดขายจากทั่วโลก 4.35 หมื่นล้านยูโร ธุรกิจโต 5.1% ครองแชมป์ตลาดความงามในไทย พร้อมดึงแบรนด์ 3CE และ Aesop เข้าพอร์ตโฟลิโอ

FORBES THAILAND / ADMIN
04 Mar 2025 | 02:39 PM
READ 141

ลอรีอัล กรุ๊ป เผยผลประกอบการปี 2567 ยังเติบโตได้อย่างแข็งแกร่งจากยอดขายทั่วโลก 4.35 หมื่นล้านยูโร ธุรกิจโต 5.1% โดย 3 ใน 4 กลุ่มธุรกิจเติบโตสูงกว่าตลาด และธุรกิจในไทยยังครองแชมป์อันดับหนึ่งตลาดสินค้าความงาม พร้อมดึงแบรนด์ดังอย่าง 3CE และ Aesop เก็บเข้าพอร์ต หวังปลุกตลาดสร้างรายได้พุ่งกว่าเดิม


    นิโคลา ฮิโรนิมุส (Nicolas Hieronimus) ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของลอรีอัล กล่าวถึงตัวเลขผลประกอบการปี 2567 ว่า เรามีการเติบโตที่แข็งแกร่งอยูที่ 5.1% ถือเป็นการเติบโตแซงหน้าตลาดความงามโลกอีกครั้งหนึ่ง หากไม่นับตลาดในเอเชียเหนือ ที่ยังคงมีความท้าทายในจีน โดยในปีที่ผ่านมานับเป็นปีแห่งการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ เราได้วางรากฐานสำหรับการเติบโตในอนาคต ด้วยการเพิ่มขีดความสามารถด้านการตลาดและการวิจัยและพัฒนาด้วย AI และเทคโนโลยี พัฒนาการประสานงานด้านไอที ปรับปรุงโครงสร้างองค์กรให้มีประสิทธิภาพ และเสริมสร้างความยืดหยุ่นของอุตสาหกรรมและห่วงโซ่อุปทาน

    นอกจากนี้ เรายังปรับปรุงพอร์ตโฟลิโออย่างต่อเนื่อง จากการซื้อลิขสิทธิ์ Miu Miu และแบรนด์ Dr.G ของเกาหลี พร้อมเข้าถือหุ้นส่วนน้อยใน Galderma บริษัทเวชภัณฑ์โรคผิวหนังจากสวิตเซอร์แลนด์เพื่อใช้ความเชี่ยวชาญด้านโรคผิวหนังและชีววิทยาของผิว และใน Amouage แบรนด์น้ำหอมระดับไฮเอนด์ในกลุ่มอาหรับ ทั้งหมดนี้จะช่วยให้เราสามารถก้าวไปข้างหน้าได้เร็วขึ้นและไกลขึ้นในการพิชิตพื้นที่ความงามใหม่ๆ ทางภูมิศาสตร์ ประชากร และเทคโนโลยีที่มีศักยภาพสูง ซึ่งนำเสนอนวัตกรรมความงามที่ใช้หลักการทางวิทยาศาสตร์เพื่อผู้บริโภคในอนาคต

    "สำหรับในปี 2568 เรามั่นใจในความสามารถที่จะเติบโตแซงหน้าตลาดได้อย่างต่อเนื่อง และบรรลุการเติบโตของยอดขายและกำไรอีกครั้งหนึ่ง จากการขับเคลื่อนด้วยกลุ่มผลิตภัณฑ์ใหม่ที่น่าตื่นเต้น และการสนับสนุนแบรนด์อย่างต่อเนื่อง" ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของลอรีอัล กล่าว

 

สรุปผลการดำเนินงานตามแผนก

แผนกผลิตภัณฑ์ช่างผมมืออาชีพเติบโตอย่างแข็งแกร่งที่ 5.3%1

    แซงหน้าตลาดผลิตภัณฑ์ช่างผมมืออาชีพ ด้วยแรงหนุนจากโมเมนตัมที่แข็งแกร่งในผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผมระดับพรีเมียม และกลยุทธ์ออมนิแชนเนลที่ประสบความสำเร็จ พร้อมการเติบโตที่โดดเด่นทั้งในอีคอมเมิร์ซและช่องทางจำหน่ายแบบคัดสรร เคเรสตาส (Kerastase) ยังคงรักษาการเติบโตในระดับสองหลักอย่างแข็งแกร่ง กลายเป็นแบรนด์ที่ใหญ่ที่สุดของแผนก


 

แผนกผลิตภัณฑ์อุปโภคเติบโต 5.4%1

    แผนกยังคงสานต่อกลยุทธ์ในการยกระดับการเข้าถึงผู้บริโภคและการพัฒนาสินค้าให้อยู่ในระดับพรีเมียม แบรนด์หลักทั้ง 4 แบรนด์มีการเติบโตที่แข็งแกร่ง โดยที่ ลอรีอัล ปารีส (L’Oreal Paris) ยังทำผลงานได้ยอดเยี่ยมอีกครั้งในปีนี้ โดยเฉพาะในโซนยุโรปและตลาดเกิดใหม่ ที่ยอดเยี่ยมพอที่จะชดเชยผลประกอบการที่อ่อนตัวลงในสหรัฐอเมริกาและจีน ซึ่งทั้งสองตลาดได้รับผลกระทบในทางลบจากภาวะการเติบโตของตลาดที่อ่อนตัวลง 

 

แผนกผลิตภัณฑ์ความงามชั้นสูงมีการเติบโตที่ระดับ 2.7%1

    ในปี 2567 แผนกผลิตภัณฑ์ความงามชั้นสูงตอกย้ำความเป็นผู้นำระดับโลกในตลาดความงามลักชัวรี่ให้ชัดเจนยิ่งขึ้น ซึ่งหากไม่นับรวมเอเชียเหนือ แผนกนี้เติบโตอย่างน่าประทับใจในอัตราเลขสองหลัก โดยมีอเมริกาเหนือเป็นภูมิภาคที่ขับเคลื่อนการเติบโตที่ใหญ่ที่สุด จนก้าวขึ้นเป็นอันดับหนึ่งในตลาดความงามชั้นสูงได้เป็นครั้งแรก แผนกยังคงเน้นการสร้างความสมดุลระหว่างกลุ่มผลิตภัณฑ์ ในกลุ่มน้ำหอม 


    การเติบโตต่อเนื่องเป็นผลจากความสำเร็จระดับโลกทั้งในกลุ่มน้ำหอมผู้หญิง พาราด๊อกซ์ (Paradoxe) โดยพราด้า (Prada), บอร์น อิน โรมา (Born in Roma) โดย วาเลนติโน่ (Valentino), ลิเบรอ (Libre) โดย อีฟส์ แซงต์ โลรองต์ (Yves Saint Laurent)  และน้ำหอมผู้ชาย สตรองเกอร์ วิธ ยู (Stronger with You) โดย อาร์มานี่ (Armani), วอนเต็ด (Wanted) โดยอัซซาโร่ (Azzaro), โปโล 67 (Polo 67) โดย ราล์ฟ ลอเรน (Ralph Lauren), มายเซลฟ์ (MYSLF) โดย อีฟส์ แซงต์ โลรองต์ 

    การเติบโตของเครื่องสำอางเร่งตัวขึ้นด้วยแรงหนุนจากความแข็งแกร่งอย่างต่อเนื่องของ อีฟส์ แซงต์ โลรองต์ ทั้งในตลาดตะวันตกและจีน ขับเคลื่อนโดยผลิตภัณฑ์หลักอย่าง อีฟส์ แซงต์ โลรองต์  เลิฟชายน์ (YSL Loveshine) และ ทูช เอคลาต์ (Touche Eclat) ในกลุ่มผลิตภัณฑ์ดูแลผิว เอสอป (Aesop), ทาคามิ (Takami)  และ ยูธ ทู เดอะ พีเพิล (Youth to the People) ได้ดำเนินกลยุทธ์การขยายตลาดทั่วโลกด้วยผลลัพธ์ที่น่าพอใจอย่างยิ่ง

 

แผนกผลิตภัณฑ์เวชสำอางเติบโตอย่างโดดเด่นที่ระดับ 9.8%1

    แผนกผลิตภัณฑ์เวชสำอางมียอดขายทะลุ 7 พันล้านยูโรเป็นครั้งแรก เติบโตแซงหน้าตลาดเวชสำอางโลก ซึ่งยังคงคึกคักแม้จะมีการชะลอตัวลงบ้าง แผนกเติบโตในทุกภูมิภาค โดยมีโมเมนตัมที่แข็งแกร่งเป็นพิเศษในตลาดเกิดใหม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภูมิภาค SAPMENA และยุโรป ทั้งยังมีผลประกอบการที่เหนือกว่าตลาดอย่างมีนัยสำคัญในเอเชียเหนือ และเติบโตนำหน้าตลาดในอเมริกาเหนือ

    ทั้งนี้ ในส่วนของแบรนด์ ลา โรช-โพเซย์ (La Roche-Posay) มีส่วนสนับสนุนการเติบโตของแผนกธุรกิจนี้มากที่สุด โดยได้รับแรงสนับสนุนอย่างมากจากยุโรปและอเมริกาเหนือ ที่มารับไม้ต่อจาก เซราวี (CeraVe) ด้วยแรงหนุนจากความสำเร็จอย่างมากของ เมลา บีทรี (Mela B3) ทำให้ ลา โรช-โพเซย์ กลายเป็นแบรนด์สกินแคร์ที่ใหญ่เป็นอันดับสามของโลกในทุกช่องทาง แม้ว่าจะมีผลประกอบการในระดับทรงตัวในสหรัฐอเมริกา แต่ เซราวี ก็ทำยอดขายก็ได้ทะลุ 2 พันล้านยูโร ซึ่งขับเคลื่อนด้วยการขยายตลาดต่างประเทศด้วยผลการดำเนินงานที่ยอดเยี่ยมในตลาดใหม่ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งใน SAPMENA จีน และบราซิล ซึ่งเซราวีเป็นผู้บุกเบิกตลาดของแผนก


 

สรุปการเติบโตของธุรกิจตามภูมิภาค

- ยุโรป เติบโต 8.2 %1

- อเมริกาเหนือ เติบโต 5.5%1

- เอเชียเหนือ หดตัว 3.2%1

- ลาตินอเมริกา เติบโต 11.0%1

- SAPMENA-SSA เติบโต 12.3%1

    ภูมิภาค SAPMENA (เอเชียแปซิฟิกใต้ ตะวันออกกลาง และแอฟริกาเหนือ) มีการเติบโตอย่างทั่วถึง ครอบคลุมทุกหมวดหมู่และทุกแผนก ด้วยแรงหนุนเชิงบวกจากการเติบโตของมูลค่าและปริมาณแบบผสมผสาน ประเทศที่เป็นตัวขับเคลื่อนหลัก ได้แก่ ออสเตรเลีย-นิวซีแลนด์ ไทย ซาอุดีอาระเบีย เวียดนาม และอินเดีย


ลอรีอัล กรุ๊ป ในประเทศไทย

    สำหรับการดำเนินธุรกิจในประเทศไทย บริษัทฯ ยังสามารถครองความเป็นผู้นำอันดับ 1 ในตลาดความงาม โดยได้รับแรงหนุนจากกลุ่มผลิตภัณฑ์ดูแลผิว โดยมีแบรนด์ การ์นิเย่ ยังคงเป็นแบรนด์สกินแคร์อันดับหนึ่งของประเทศ ถัดมาคือ ลอรีอัล ปารีส และ เซราวี อยู่ในท๊อป 5 ซึ่งในส่วนของสินค้าเมคอัพ เมย์เบลลีน นิวยอร์ค ยึดตำแหน่งแบรนด์เมคอัพอันดับหนึ่ง ในส่วนผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผมมีเคเรสตาสครองอันดับ 1 ในตลาดพรีเมียม


    ทั้งนี้ ในเดือนมกราคมที่ผ่านมา ลอรีอัล ประเทศไทย ยังมีการปรับให้พอร์ตโฟลิโอแบรนด์เข้มแข็งขึ้น ด้วยการดึงแบรนด์ 3CE แบรนด์เมคอัพเกาหลีอันดับ 1 ของโลก มาอยู่ภายใต้กลุ่มผลิตภัณฑ์อุปโภคเพื่อปลุกตลาดเมคอัพให้เติบโตมากขึ้น เช่นเดียวกับแผนกความงามชั้นสูงที่จะมีการนำแบรนด์ Aesop (เอสอป) มาอยู่ภายใต้การดูแลในช่วงไตรมาสที่ 2 ของปี 2568 


ภาพ : ลอรีอัล ประเทศไทย



เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : She-Shopper นักช็อปหญิงผู้ขับเคลื่อนอีคอมเมิร์ซไทยที่อาจช่วยดันยอดขายสินค้าแฟชั่นโต 21.5% ในปีนี้

ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine