ขายเครื่องแล้ว ขายแฟรนไชส์ด้วย! LG เปิดตัวแฟรนไชส์ ‘ร้านสะดวกซัก’ ในไทยที่แรกในโลก - Forbes Thailand

ขายเครื่องแล้ว ขายแฟรนไชส์ด้วย! LG เปิดตัวแฟรนไชส์ ‘ร้านสะดวกซัก’ ในไทยที่แรกในโลก

หลังจำหน่าย “เครื่องซักผ้าเชิงพาณิชย์” ในไทยมาราว 6 ปี และจำหน่ายให้กับแบรนด์ร้านสะดวกซักหลายแบรนด์ ในที่สุดก็ถึงเวลาที่ “แอลจี อีเลคทรอนิคส์ (ประเทศไทย)” จะลุยธุรกิจร้านสะดวกซักด้วยตัวเอง ล่าสุดเปิดตัวแฟรนไชส์ในชื่อ LG Laundry Crew ลงทุนเริ่มต้น 1.5 ล้านบาท วางเป้าหมายว่านี่จะเป็นธุรกิจที่สามารถสร้างรายได้เป็นสัดส่วน 2-3% ให้กับบริษัทได้ภายใน 3 ปี


    อำนาจ สิงหจันทร์ หัวหน้าฝ่ายการตลาด บริษัท แอลจี อีเลคทรอนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ธุรกิจร้านสะดวกซักในไทยกำลังอยู่ในช่วงขาขึ้นและยังมีโอกาสโตได้อีกมากแม้จะมีแบรนด์ร้านสะดวกซักอยู่ถึง 30-40 แบรนด์แล้วก็ตาม โดยปัจจุบันในไทยมีร้านสะดวกซักอยู่ราว 4,500 ร้าน และคาดว่าปีนี้จะเพิ่มขึ้นอีก 1,000 ร้าน

    “ประกอบกับที่ผ่านมาแอลจีมีมาร์เก็ตแชร์ในตลาดเครื่องซักผ้าเป็นอันดับ 1 ในประเทศไทยมาตลอด 35 ปี โดยปี 2566 ที่ผ่านมาสร้างยอดขายได้มากกว่า 500,000 เครื่อง ครองส่วนแบ่งทางการตลาดมากถึง 34.3% เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าที่อยู่ที่ 33.7% ทำให้เรามั่นใจว่าไทยจะเป็นประเทศที่เหมาะสมในการเป็นต้นแบบของธุรกิจนี้”


    อำนาจ บอกอีกว่า แอลจีเริ่มจำหน่ายเครื่องซักผ้าเชิงพาณิชย์ในไทยตั้งแต่ราว 6 ปีก่อน โดยจำหน่ายให้แบรนด์ร้านสะดวกซักในไทย 8 แบรนด์ ยอดขายปีที่ผ่านมาอยู่ที่ 3,000 เครื่อง เมื่อเห็นว่าตลาดร้านสะดวกซักไทยมีแนวโน้มเติบโตดี จึงเสนอโมเดลแฟรนไชส์ร้านสะดวกซักไปให้กับบริษัทแม่ที่เกาหลีใต้ และใช้เวลา 6 เดือนจึงได้รับการอนุมัติ ก่อนจะให้บริการ LG Laundry Crew สาขาแรกที่รามคำแหง ซอย 8

    “จุดเด่นของเราคือ Branding ที่เป็นที่รู้จักอยู่แล้วในกลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้า การตกแต่งหน้าร้านก็จะคงเอกลักษณ์ตัวตนของแอลจีทำให้ลูกค้าที่มาใช้บริหารมั่นใจการใช้งานมากขึ้น นอกจากนี้ เครื่องซักผ้าที่ให้กับเจ้าของแฟรนไชส์ยังเป็นเครื่องซักและเครื่องอบเกรดเชิงพาณิชย์ ซึ่งเหมาะสมต่อการคืนกำไร และผ้าที่ได้ก็สะอาด

    “อีกทั้งเรายังมีบริการหลังการขาย ไม่ว่าจะเป็น มีพนักงานคอยรับเรื่องตลอด 24 ชั่วโมงหากเกิดปัญหา, มีพนักงานมาดูแลตรวจเช็กเครื่องทุกเดือน, ภายใน 2 ปีแรกมีบริการล้างถังซักฟรี 2 ครั้ง/ปี, มีแอปพลิเคชั่นให้เจ้าของร้านดูภาพกล้องวงจรปิด และติดตามได้ว่าเครื่องใดที่ถูกใช้งานบ้างในแต่ละวัน ใช้กี่ครั้ง และเป็นจำนวนเงินเท่าใด เป็นต้น”


    สำหรับราคาแฟรนไชส์ร้านสะดวกซัก LG Laundry Crew มีอยู่ 4 ไซส์ด้วยกัน คือ

    -ไซส์ S ราคา 1.5 ล้านบาท (ได้เครื่องซักและอบ 4 ชุด)

    -ไซส์ M ราคา 2 ล้านบาท (ได้เครื่องซักและอบ 6 ชุด)

    -ไซส์ L ราคา 2.5 ล้านบาท (ได้เครื่องซักและอบ 8 ชุด)

    -ไซส์ XL ราคา 3 ล้านบาท (ได้เครื่องซักและอบ 10 ชุดขึ้นไป)

    โดยราคาดังกล่าวรวมการตกแต่งร้าน (ไม่รวมการปรับปรุงสถานที่เชิงโครงสร้างที่เจ้าของพื้นที่ต้องลงทุนเอง) ที่น่าสนใจคือในช่วงแรกนี้ แอลจีไม่คิดค่าธรรมเนียมรายงวดหรือส่วนแบ่งจากยอดขายด้วย (แต่อาจปรับเปลี่ยนได้ในอนาคต)

    ส่วนราคาค่าบริการซักอยู่ที่ 40-70 บาท และอบอยู่ที่ 40-50 บาท ทั้งนี้ แอลจีประเมินว่าผู้ซื้อแฟรนไชส์จะคืนทุนได้ภายใน 2-4 ปี ส่วนเครื่องซักผ้าและเครื่องอบมีอายุการใช้งานถึง 12 ปี

    แม้จะเป็นธุรกิจใหม่ที่ตั้งใจปลุกปั้น แต่ดูเหมือนแอลจียังไม่ได้ตั้งเป้าหมายขยายสาขาอย่างชัดเจนนัก โดยอำนาจให้เหตุผลว่าอยากเริ่มต้นอย่างมั่นคงกับผู้ที่เป็นเจ้าของแฟรนไชส์ ให้เขาได้เติบโตอย่างมั่นคงและมีรายได้ที่ดี พร้อมสร้างความมั่นใจให้กับลูกค้าร้านสะดวกซักที่ซื้อเครื่องของแอลจีไปว่าจะไม่เกิดการตัดราคาอย่างแน่นอน (ราคาเครื่องซักและเครื่องอบเชิงพาณิชย์อยู่ที่ 80,000-100,000 บาท/ชุด)

    นอกจากนี้ แอลจียังหวังว่าธุรกิจนี้จะช่วยดันยอดขายเครื่องซักผ้าเชิงพาณิชย์ของบริษัทให้เติบโตได้ โดยตั้งเป้ายอดขายปีนี้เติบโตเท่าตัวจากปีก่อนหน้าเป็น 6,000 เครื่อง ซึ่งคาดว่าจะเป็นสัดส่วนจากธุรกิจแฟรนไชส์ร้านสะดวกซักอยู่ที่ 20% นอกจากนั้นจะมาจากการที่ลูกค้าของแอลจีต้องเปลี่ยนเครื่องตามรอบการใช้งานนั่นเอง

    อำนาจตั้งเป้าว่าธุรกิจร้านสะดวกซักจะสร้างยอดขายคิดเป็นสัดส่วน 2-3% ให้กับบริษัทได้ภายใน 3 ปีข้างหน้า แต่ที่มากไปกว่านั้นก็คือ ผลประโยชน์ที่ได้นอกเหนือจากยอดขายแฟรนไชส์ คือการที่ร้านสะดวกซักนี้จะกลายเป็นพื้นที่ที่ทำให้ผู้คนจดจำแบรนด์แอลจีได้มากขึ้น ต่อยอดไปสู่เครื่องใช้ไฟฟ้าประเภทอื่นๆ ของแอลจีต่อไปนั่นเอง

    อำนาจยังทิ้งท้ายถึงภาพรวมตลาดเครื่องซักผ้าในไทยปีที่ผ่านมามีมูลค่า 14,375 ล้านบาท เติบโตเล็กน้อย 1-2% ส่วนแอลจีโตมากกว่าตลาดคือเติบโตที่ 3% อานิสงส์จากเครื่องซักผ้ากลุ่มพรีเมียม LG WashTower เครื่องซักและอบผ้าในตัวที่ขายดีขึ้น โดยเดือนธันวาคม 2566 มียอดขายกว่า 430 เครื่อง และเดือนมกราคมที่ผ่านมามียอดขายมากกว่า 500 เครื่อง



เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : 9 ปี “137 ดีกรี” ยอดขายอันดับ 1 นมทางเลือกในไทย

ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine