บริษัท เซ็นทรัล มาร์เก็ตติ้ง กรุ๊ป ผู้แทนจำหน่ายผลิตภัณฑ์ Lee เปิดตัวแฟล็กชิพสโตร์แห่งใหม่เผยแผนการตลาดส่งท้ายปีดันยอดโตตามเป้าหมาย ด้าน นันทวรรณ สุวรรณเดช ผู้ช่วยกรรมการ ผู้จัดการใหญ่อาวุโส บริษัท เซ็นทรัล มาร์เก็ตติ้ง กรุ๊ป เผยภาพรวมตลาดยีนส์ประเทศไทย 2.2 หมื่นล้านบาท พร้อมจัดทัพสินค้าสู้ศึก fast fashion ด้วย นวัตกรรมและการออกแบบ
Lee เปิดตัวแฟล็กชิพสโตร์แห่งใหม่ ณ ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ กับการตกแต่งที่นำสัญลักษณ์ความเป็นไทยอย่างรถสามล้อ รถเข็น และกระเบื้องลายไทย โดยภายใต้สโลแกนใหม่ “Move Your Lee” เปิดตัวคอลเลคชั่น Urban Riders 2019 และ Lee x Marvel Comic
นันทวรรณ สุวรรณเดช ผู้ช่วยกรรมการ ผู้จัดการใหญ่อาวุโส บริษัท เซ็นทรัล มาร์เก็ตติ้ง กรุ๊ป เผยทิศทางปลายปี 2561 ในการกระตุ้นยอดขายสำหรับแบรนด์ Lee ประเทศไทยมีสัดส่วนหลักของกลุ่มผู้บริโภคมาจากสัดส่วนคนไทยและจีนราว 60 ต่อ 40 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งกลุ่มลูกค้าชาวจีนของเราคือกลุ่มนักท่องเที่ยวเป็นหลัก จากตัวเลขนักท่องเที่ยวชาวจีนที่ลดลงภายหลังเหตุการณ์เรือนักท่องเที่ยวชาวจีนล่มและการเก็บ Visa on Arrival 300 บาท ทำให้สัดส่วนรายได้ตกลงไปบ้าง
“ผลิตภัณฑ์จากผ้าเดนิมของ Lee ประเทศไทย เป็นที่นิยมอย่างมากในชาวจีนโดยมียอดซื้อเฉลี่ยต่อคนราว 6-7 พันบาทต่อคน เนื่องจากคุณภาพของผ้ายีนต์ที่ดีกว่าและราคาที่จำหน่ายในประเทศถูกกว่าจีนราว 40 เปอร์เซ็นต์ โดยกางเกงยีนต์ผ้าปกติและรุ่น Jade Fusion ที่มีส่วนผสมของผงหยกซึ่งทำให้ใส่แล้วเย็นสบาย เป็นสินค้ายอดนิยม โดยกางเกงยีนส์รุ่น Jade Fusion เป็นอีกหนึ่งนวัตกรรมการผลิตของเราที่นำเสนอต่อผู้บริโภค” นันทวรรณ กล่าวและเสริมว่า
“สำหรับผู้บริโภคชาวไทยเราเร่งการทำการตลาดผ่านการร่วมมือกับห้างโรบินสันและการทำกิจกรรมต่างๆ ในร้านหัวเมืองใหญ่ๆ อาทิ เชียงใหม่, ภูเก็ต, อุดรธานี และพัทยา ให้สิทธิพิเศษกับแฟนคลับของแบรนด์เรา โดยสินค้าขายดีของคนไทยยังคงเป็นแจ็คเก็ตและกางเกงยีนต์เป็นหลักเฉลี่ยยอดขายต่อคนราว 3 พันบาท ซึ่งจากการเปิดตัวคอลเล็คชั่นใหม่ผสานกับการทำการตลาดเราคาดหวังว่ายอดใช้จ่ายเพิ่มขึ้นที่ราว 5 พันบาทต่อคน”
สำหรับภาพรวมตลาดยีนต์ในประเทศไทย
นันทวรรณ ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่ามูล.ค่าตลาดรวมของตลาดยีนต์ในประเทศไทยอยู่ที่ราว 2.2 หมื่นล้านบาท โตราว 5 เปอร์เซ็นต์ โดยแบรนด์ Lee มีสัดส่วนราว 20 เปอร์เซ็นต์ นอกจากแบรนด์ Lee บริษัท เซ็นทรัล มาร์เก็ตติ้ง กรุ๊ป หรือ CMG ยังเป็นตัวแทนจำหน่าย ให้กับ Brand กางเกงยีนต์ Wrangler รวมไปถึง Lee Cooper ซึ่งทั้งสามแบรนด์ของเรามีสินค้าบางส่วนผลิตในโรงงานของเรา อย่างแบรนด์ Lee เองมีสัดส่วนที่ผลิตเองเองอยู่ที่ราว 50 เปอร์เซ็นต์ในกลุ่มกางเกงยีนต์เบสิก รวมไปถึงการตัดเย็บผ้าพิเศษที่นำเข้ามาอย่างรุ่นที่มีส่วนผสมของผงหยก
“กางเกงรุ่น Jade Fusion เป็นอีกสินค้านำเอาเทคโนโลยีการผลิตที่บวกนวัตกรรมลงไปเพื่อนำมาเป็นทางเลือกให้กับผู้บริโภคและตอบโจทย์กับไลฟสไตล์มากยิ่งขึ้น ในปัจจุบันยอดขายยีนต์ถูกแชร์รายได้ไปในกลุ่ม fast fashion ส่วนหนึ่ง ซึ่งทำให้เราเองจึงต้องปรับตัวและแข่งขันด้วยนวัตกรรมและการออกแบบ”
นอกจากนี้ในปีหน้าเราเตรียมการปรับปรุงร้านค้าใหม่ราว 7 สาขา โดยคาดการณ์งบในการปรับปรุงราว 10 ล้านบาท รวมถึงการทำกิจกรรมและการเจาะตลาดผู้บริโภคโดยดึงข้อมูลจากฐานบัตร The One นำมาปรับใช้เพิ่มเติม ด้านสัดส่วนยอดขายออนไลน์ของ แบรนด์ Lee ในปี 2561 มียอดขายราว 20 ล้านบาท ถือว่าโตจากปีที่ผ่านที่มียอดขาย 14 ล้านบาท โดยเป็นการจำหน่ายผ่านแพลตฟอร์ม Looksi, COL , TheOutlet24 ทั้งนี้ปีหน้าเราตั้งเป้าด้านยอดออนไลน์ที่ราว 40 ล้านบาท รวมถึงการเพิ่มช่องทางการขายแบบ Chat&Shop อีกด้วย