KCG เตรียมขออนุมัติบอร์ดลงทุนเกือบ 500 ล้านบาท ปรับปรุงไลน์ผลิต เพิ่มประสิทธิภาพต้นทุน-แข่งขันได้ดีขึ้น - Forbes Thailand

KCG เตรียมขออนุมัติบอร์ดลงทุนเกือบ 500 ล้านบาท ปรับปรุงไลน์ผลิต เพิ่มประสิทธิภาพต้นทุน-แข่งขันได้ดีขึ้น

เปิดแผนตลาด KCG ปีหน้า สานต่อยุทธศาสตร์ 7 หลัก เน้นสร้างการโตต่อเนื่อง เข้าใจผู้บริโภค และนวัตกรรม พร้อมเตรียมขออนุมัติบอร์ด ไฟเขียวลงทุนเพิ่มอีกเกือบ 500 ล้านปีหน้าปรับปรุงไลน์ผลิต เพิ่มประสิทธิภาพต้นทุนและแข่งขันดีขึ้น


    ดำรงชัย วิภาวัฒนกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้อำนวยการ บริษัท เคซีจี คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ KCG เปิดเผยว่า บริษัทเตรียมยื่นที่ประชุมบอร์ดฯ ในวันที่ 13 พฤศจิกายน 2567 นี้ เพื่อใช้เงินลงทุนเป็นเงินเท่ากับปีนี้หรือประมาณ 480 ล้านบาทในปีหน้า เพื่อใช้ลงทุนด้านไอที เทคโนโลยี่ และเครื่องจักรเพื่อปรับปรุงไลน์การผลิตให้มีประสิทธิภาพและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันและลดต้นทุนการผลิต

    ขณะเดียวกันในปีนี้ KCG จะยังคงสานต่อยุทธศาสตร์ 7 Business Pillars อย่างต่อเนื่องและเข้มข้นในทุกภาคส่วนขององค์กร เพื่อเข้าใจผู้บริโภคอย่างลึกซึ้งและนำมาพัฒนาผลิตภัณฑ์และการบริการ ตลอดจนให้ความสำคัญกับนวัตกรรมที่ตอบโจทย์โมเดิร์นไลฟ์สไตล์ กลยุทธ์ทั้ง 7 ประกอบด้วย

    1.1 มุ่งสร้างการเติบโตทางธุรกิจ (Growth)


    1.2 การพัฒนาบุคลากร (People) 

    1.3 การขับเคลื่อนองค์กรด้วยข้อมูลและเทคโนโลยี (Innovation Data & Tech)


    1.4 การขยายตลาดส่งออก (Export)


    1.5 ยกระดับศูนย์กระจายสินค้าและคลังสินค้าที่ทันสมัยและครบวงจร (Supply Chain & Inventory)


    1.6 ยกระดับการผลิตโดยใช้ระบบอัตโนมัติ (Production& Automation)

    
1.7 การส่งเสริมสิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืน (Sustainable Development)

    ดำรงชัยกล่าวว่า บริษัทมีแผนจะพัฒนาช่องทางการขายในตลาดส่งออกสำหรับบิสกิต เนยและวัตถุดิบเบเกอรี่และอื่นๆ ให้แข็งแรงขึ้น ให้ครอบคลุมทั้งช่องทาง B2B และ B2C พร้อมกันนี้ยังเตรียมไปเปิดตลาดในภูมิภาคใหม่ๆ อาทิ ตะวันออกกลางซึ่งได้พูดคุยกับผู้แทนจำหน่ายที่มีศักยภาพ 2-3 รายแล้ว นอกจากนี้แอฟริกากับจีนก็อยู่ในแผนขยายธุรกิจในอนาคตด้วย

    ปัจจุบัน KCG ส่งออกสินค้าไปจำหน่ายใน 17 ประเทศ โดยตลาดหลักอยู่ที่ ญี่ปุ่น เกาหลี เวียตนามและฟิลิปปินส์ มีสัดส่วนรายได้อยู่ที่ 4.5% ในปัจจุบันและยังคงสัดส่วนนี้ไว้ในปีหน้า


    ส่วนประเทศที่ขยายธุรกิจไปก่อนหน้านี้แล้ว บริษัทจะขยายช่องทางจำหน่ายให้ครอบคลุม โดยในปีนี้บริษัทได้ใช้เงินลงทุนไปประมาณ 300 กว่าล้านบาทจากที่คาดว่าจะใช้ 480 ล้านบาท เพื่อใช้ในด้านต่างๆ รวมถึงการเปิดใช้บริการ KCG Logistics Park

    ศูนย์กระจายสินค้า และคลังสินค้าแห่งนี้ถูกออกแบบมาเพื่อรองรับความต้องการที่หลากหลายของตลาด ทั้งยังสามารถตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้อย่างครบครันทั่วทั้ง 77 จังหวัด นอกจากนี้แล้วยังเตรียมลงทุนอีก 50 ล้านบาทติดตั้งแผงโซล่าร์เซลล์บนหลังคาของศูนย์กระจายสินค้าทั้ง 4 แห่งที่สมุทรปราการ เชียงใหม่ ขอนแก่น และสุราษฎร์ธานี คาดจะติดตั้งพร้อมใช้ภายในสิ้นปีนี้ คาดว่าจะประหยัดค่าใช้จ่ายด้านพลังงานได้ 10 ล้านบาท

    “ปี 2567 เป็นปีทองของ KCG เพราะเราทำนิวไฮทั้งยอดขายและกำไร เพราะ KCG ผลิตและจัดจำหน่ายแบรนด์ คุณภาพจากทั่วโลก ออกสินค้าใหม่ที่ตอบสนองโมเดิร์นไลฟ์สไตล์ อาทิ กลุ่มผลิตภัณฑ์ Dairy Products อย่าง ‘แดรี่โกลด์ ชีสกะเพรา’ ทำให้พอร์ตของ KCG แข็งแกร่งมากขึ้น” ดำรงชัยเผย

    นอกจากนี้ในกลุ่มผลิตภัณฑ์ Food and Bakery Ingredients บริษัทได้นำเข้าวัตถุดิบที่หลากหลายมากขึ้น เช่น เนื้อ ล็อบสเตอร์ และ โคลคัท กลุ่มผลิตภัณฑ์ Biscuits มี IMPERIAL Edible Cookie Cup แก้วกาแฟกินได้ ทำจากคุกกี้อิมพีเรียลสูตรพิเศษ ผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ตอบโจทย์ทั้งด้านความยั่งยืน รสชาติ และประสบการณ์ของผู้บริโภค

    ดำรงชัยกล่าวอีกว่า ยอดขายของ KCG มีการเติบโตอย่างต่อเนื่องในกลุ่มเนยและชีส โดยในไตรมาส 3/2567 สามารถครองส่วนแบ่งการตลาดสำหรับผลิตภัณฑ์เนยได้ถึง 55% และผลิตภัณฑ์ชีส 31.6% รวมยอดขายผลิตภัณฑ์ที่ทำจากนมมูลค่า 1,063.4 ล้านบาท

    “ยอดขายชีสเราโต 13% ขณะที่ตลาดรวมโตแค่ 7% และยอดขายเนยโต 7% แต่ตลาดโตเพียง 4% เราโตเหนือตลาดทั้งสองประเภท” ดำรงชัยกล่าว

    ขณะที่ผลิตภัณฑ์ประกอบการทำเค้กและแพนเค้กมีส่วนแบ่งการตลาด 14.2% และผลิตภัณฑ์ยีสต์มีส่วนแบ่งการตลาด 9.2% รวมยอดขายในกลุ่มผลิตภัณฑ์สำหรับการประกอบอาหารและเบเกอรี (FBI) 507.8 ล้านบาท และกลุ่มผลิตภัณฑ์ Biscuits มีส่วนแบ่งการตลาด 26.1% มูลค่า 181.4 ล้าน

    ปัจจุบันสัดส่วนลูกค้าของเคซีจีแบ่งเป็น B2C 53%, B2B 43% และ Export 4% ซึ่งที่ผ่านมา KCG มีความแข็งแกร่งในช่องทางการขายแบบ B2B เป็นพื้นฐาน แต่ปีนี้บริษัทสามารถขยายสัดส่วนลูกค้า B2B และ B2C ให้เติบโตใกล้เคียงกันได้


    ดำรงชัยกล่าวต่อว่า จากการเฝ้าสังเกตผู้บริโภคอย่างใกล้ชิด ทำให้ KCG ได้เรียนรู้ว่า ผู้บริโภคในปัจจุบันให้คุณค่ากับอาหารที่มากกว่าความอิ่มอร่อย ซึ่งแนวทางในการพัฒนาสินค้าและบริการของ KCG ในปี 2568 จะต้องตอบโจทย์ผู้บริโภคใน 4 มิติ คือ

    1. FOOD FOR SELF EXPRESSION อาหารเพื่อบ่งบอกตัวตน - เนื่องทุกวันนี้ผู้บริโภคใช้อาหารเป็นการสื่อสารตัวตนผ่านโซเชียลมีเดีย อาหารเป็นสื่อที่บ่งบอกตัวตนของผู้บริโภคว่าเป็นคนแบบใด พิถีพิถันแค่ไหน ดังนั้น สินค้าและบริการของ KCG จะต้องช่วยให้ผู้บริโภครู้สึกถึงการเป็นตัวเองได้อย่างเต็มที่

    2. FOOD FOR CONNECTING PEOPLE อาหารเพื่อเชื่อมโยงผู้คน - อาหารเป็นสื่อกลางในการสร้างความสัมพันธ์ของผู้คน ซึ่งปัจจุบันผู้บริโภคมีเครือข่ายความสัมพันธ์ที่แตกแขนงไปมากกว่าเดิม มีเพื่อนที่มีความสนใจเฉพาะ มี Networking ต่างๆ ที่ทำให้ได้รู้จักเพื่อนใหม่ๆ ดังนั้น อาหารจึงควรทำหน้าที่ให้คนมีความสัมพันธ์ที่ดีขึ้น

    3. FOOD TO HEAL YOUR BODY & MIND อาหารเพื่อฮีลกายและใจ - เทรนด์การรักษาสุขภาพยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง ทั้งสุขภาพกายและสุขภาพใจ ดังนั้น อาหารจึงควรเสิร์ฟทั้งความสุขต่อร่างกายและจิตใจไปพร้อมกัน เพื่อทำให้ผู้บริโภครู้สึกดีต่อตัวเอง และไม่รู้สึกผิดที่จะรับประทาน

    4. FOOD TO SAVE THE WORLD อาหารเพื่อช่วยให้โลกดีขึ้น - ผู้บริโภคมีความใส่ใจในสิ่งแวดล้อมมากขึ้น การทำผลิตภัณฑ์อาหารจึงต้องมีความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมไปด้วย ทั้งในเชิงที่มาของวัตถุดิบที่ต้องได้คุณภาพ และไม่ทำลายสิ่งแวดล้อมไปพร้อมกัน



    นอกจากนี้บริษัทจะมุ่งให้ความสำคัญกับนวัตกรรมต่อไป ทั้งในเรื่องรสชาติ วิธีการรับประทาน ฯลฯ รวมทั้งการแสวงหาแบรนด์ผลิตภัณฑ์อาหารที่มีคุณภาพจากทั่วโลกที่จะมาเติมความแข็งแกร่งให้กับพอร์ตฟอลิโอของ KCG โดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าพรีเมียม เช่นเดียวกับการเข้าถึงคนรุ่นใหม่จากกลยุทธ์ Partnership ซึ่งที่ผ่านมา KCG เคยจับมือกับ GREYHOUND CAFE ในการนำเสนอเมนู “ชีสบอร์ด” เป็นเมนูประจำการเฉลิมฉลอง ซึ่งเป็นโอกาสให้ผู้บริโภคได้รับประทานชีสในรูปแบบที่หลากหลาย พร้อมไปกับการเจาะกลุ่มลูกค้าคนรุ่นใหม่ไปด้วย ซึ่งในปี 2568 ที่จะถึงนี้ KCG จะยังคงหาวิธีในการเข้าถึงคนรุ่นใหม่ให้ได้มากขึ้นต่อไป

    นอกจากนั้น การที่ KCG มี Celebrity Chef อยู่ในองค์กร เช่น เชฟบิ๊บ-ชัชชญา รักตะกนิษฐ Vice-President ของ KCG Creative Center, เชฟเมย์-พัทธนันท์ ธงทอง, เชฟพลอย-ฐาติกานต์ ตัณฑจินนะ KCG Ambassador Chef ถือเป็นกุญแจสำคัญในการคิดค้นวิธีการนำเสนออาหารให้ตอบโจทย์โมเดิร์นไลฟ์สไตล์ ซึ่งจะยิ่งช่วยให้ผู้บริโภคมีความเข้าใจในคุณภาพของผลิตภัณฑ์ของ KCG ได้ดียิ่งขึ้น

    “การเน้นย้ำคุณภาพของผลิตภัณฑ์จาก KCG และการมีผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายครอบคลุมความต้องการของผู้บริโภค จะเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ KCG ยังคงสร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่องได้ และทำให้ทุกคนเห็นว่า KCG ไม่ได้มีดีแค่คุกกี้อิมพีเรียลกล่องแดง แต่ยังมีผลิตภัณฑ์คุณภาพในพอร์ตฟอลิโอจากทั่วโลก” ดำรงชัยกล่าวทิ้งท้าย


เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : ‘ยอด’ มองตลาดฟู้ดเดลิเวอรีไทย ปีนี้เห็นชัดว่าใครจะอยู่ได้ยาว ส่วน ‘ไลน์แมน’ จำนวนธุรกรรมขึ้นอันดับ 1 แล้ว

ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine