ขยับน้อย-นั่งนาน ภัยเงียบมนุษย์เงินเดือน! ต้นตอโรคร้ายลามข้อต่อกระดูก รพ.วิมุต ผุดศูนย์กระดูกและข้อ - Forbes Thailand

ขยับน้อย-นั่งนาน ภัยเงียบมนุษย์เงินเดือน! ต้นตอโรคร้ายลามข้อต่อกระดูก รพ.วิมุต ผุดศูนย์กระดูกและข้อ

FORBES THAILAND / ADMIN
29 Oct 2025 | 09:30 AM
READ 161

คนไทยอยู่ในท่านั่งมากถึงวันละ 13 ชั่วโมง! ขยับน้อย-นั่งนาน ต้นตอโรคร้ายลามข้อต่อและกระดูก ‘รพ.วิมุต’ ผุดศูนย์กระดูกและข้อ ชี้ค่ารักษาไม่อยู่ในระดับลักชัวรี่ ยึดหลักทุกคนเข้าถึงได้


    โรคกระดูกและข้อกลายเป็นปัญหาสาธารณสุขระดับโลกที่องค์การอนามัยโลก (WHO) จัดให้อยู่ในกลุ่มโรคที่เป็นสาเหตุของความพิการอันดับต้นๆ ของประชากรโลก โดยมีผู้ป่วยกว่า 1.71 พันล้านคนทั่วโลก ขณะเดียวกัน ข้อมูลจากสำนักงานกองทุนสนับสนุนเสริมสร้างสุขภาพ (สสส.) เผยว่า คนไทยอยู่ในท่านั่งเฉลี่ยมากถึง 13 ชั่วโมงต่อวัน กล่าวคือ พฤติกรรมนั่งนาน ยืนนาน ขยับน้อย กลายเป็นตัวเร่งทำให้โรคกระดูกแพร่กระจาย โดยเฉพาะมนุษย์ออฟฟิศและผู้ที่ต้องนั่งอยู่หน้าจอเป็นเวลานาน

    นายแพทย์นิพัฒน์ กุหลาบขาว ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โรงพยาบาลวิมุต โฮลดิ้ง จำกัด กล่าวว่า “การเปิดศูนย์กระดูกและข้อ เป็นการเดินหน้าสร้างระบบสุขภาพแบบองค์รวม หลังจากเราเห็นชัดว่าภัยเงียบจากโรคกระดูกและข้อกำลังขยายกว้างขึ้นทุกปี ไม่เฉพาะผู้สูงวัย แต่ยังลุกลามไปยังคนอายุน้อย เราจึงเลือกลงทุนสาขานี้จริงจัง เพื่อสร้างศูนย์ความเป็นเลิศที่รวมทั้งความชำนาญการของทีมแพทย์เฉพาะทาง”


นายแพทย์นิพัฒน์ กุหลาบขาว


    นายแพทย์สุวาณิช เตรียมชาญชัย ผู้อำนวยการโรงพยาบาลวิมุต เผยว่า “ศูนย์กระดูกและข้อคือก้าวสำคัญของ รพ.วิมุตในการสร้างศูนย์ความเป็นเลิศที่ไม่ได้มุ่งเพียงรักษาโรค แต่ยกระดับมาตรฐานการดูแลสุขภาพกระดูกและข้อของคนไทยสู่มาตรฐานระดับสากล

    “สำหรับค่าบริการโดยรวมทั่วไป ตั้งใจว่าจะไม่ได้ให้เป็นเทียร์ 1 ไม่ได้ลักชัวรี่ แต่อยู่ในระดับกลางๆ เป็นราคาที่ให้ทุกคนเข้าถึงได้”


นายแพทย์สุวาณิช เตรียมชาญชัย


    นายแพทย์สมยศ ปิยะวรรณ ศัลยแพทย์กระดูกและข้อแพทย์ผู้เชี่ยวชาญการด้านข้อเข่าและสะโพก กล่าวถึงภัยเงียบของโรคกระดูกและข้อว่า “ภัยเงียบคือภาวะสุขภาพที่ซ่อนเร้นอยู่ คือในระยะแรกของโรคไม่เกิดอาการ เมื่อมีอาการเกิดขึ้นแสดงว่าเป็นมากกว่านั้น หากดูตามข้อมูลพบว่า ในช่วงที่โควิด-19 ระบาด มีผู้เสียชีวิตเยอะแยะมาก แต่ปรากฏว่าผู้เสียชีวิตจากภัยเงียบนั้นมากกว่าช่วงที่โควิดระบาดถึง 4 เท่า

    “คำว่า ภัยเงียบ แบ่งโรคออกเป็น 3 กลุ่ม กลุ่มแรกคือ สัมพันธ์กับชีวิตประจำวัน เช่น โรคหัวใจ โรคอ้วน โรคเบาหวาน โรคกระดูกพรุน โรคไขมันพอกตับ กลุ่มสองคือ สัมพันธ์กับสภาพจิตใจ เช่น ความโดดเดี่ยว ความโศกเศร้า กลุ่มที่สาม คือ ภาวะโรคระบาดจากเชื้อที่ดื้อยา โดยเป็นโรคที่มีระยะฟักตัวนาน ทำให้ในระยะแรกไม่มีอาการ เมื่อรู้ว่าเป็นโรคเชื้อก็กระจายไปทั่วร่างกายแล้ว


นายแพทย์สมยศ ปิยะวรรณ


    “อยากเน้นย้ำในโรคกลุ่มแรกเป็นหลัก ที่ในแต่ละวันเกิน 50% ใช้เวลากับการนั่งเป็นหลัก ภาวะหลังโควิดระบาด เรามีการ work from home ทำงานหน้าจอมากขึ้น รับประทานอาหารที่รวดเร็ว ทั้งยังมีการออกกำลังกายที่น้อยลง จะเห็นว่าปัจจัยเสี่ยงเหล่านี้ทำให้เกิดโรค แต่เราสามารถป้องกันได้ เช่น การเปลี่ยนกิจวัตรประจำวัน ปรับอาหารอย่างเหมาะสม ควบคุมน้ำหนัก และการออกกำลังกายซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญมาก การออกกำลังกายช่วยลดภาะวะการเกิดโรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง ควบคุมน้ำหนัก

    “โดยสรุปแล้วภัยเงียบมีความเสี่ยงอันตรายมากกว่าที่เคยรับรู้กันมา การออกกำลังกายค่อนข้างเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพ แต่การออกกำลังกายต้องมีภาวะของกล้ามเนื้อกระดูกและข้อในสภาวะที่พร้อม ทำให้เกิดการเคลื่อนไหวได้อย่างเหมาะสม การมีข้อที่ดีทำให้ชีวิตของเราไม่สะดุด นอกจากโรคกระดูกและข้อทำให้เกิดอาการบาดเจ็บแล้ว แต่ยังทำให้ระบบสุขภาพโดยรวมเสื่อมถอยไปด้วย และการเคลื่อนไหวร่างกายน้อยลงทำให้ร่างกายมีความแข็งแรงลดลงตามไปด้วย

    “ในช่วง 10-20 ปีที่ผ่านมา ความรู้ทางวิชาการพัฒนาไปไกลมาก รวมถึงวิธีการรักษาที่มากขึ้น พัฒนาการผ่าตัดได้ง่ายขึ้น หมอกระดูกและข้อดูแลคนไข้ทุกช่วงอายุ ตั้งแต่แรกเกิด ยกตัวอย่าง เมื่อเด็กแรกคลอด กุมารแพทย์จะตรวจร่างกายของเด็ก สิ่งสำคัญที่ต้องตรวจคือสะโพก เราพบว่าสะโพกหลุดในเด็กเป็นจุดชี้วัดอันหนึ่งถึงพัฒนาทางการแพทย์ด้านสาธารณสุขของประเทศนั้นๆ ยิ่งถ้ามีอัตราการเกิดโรคดังกล่าวต่ำ หมายความว่า ประเทศนั้นอยู่ในเกณฑ์ที่ดี” นายแพทย์สมยศ กล่าว

    นายแพทย์ปฐมฉัฐ พิสิฐวัฒนากรณ์ ศัลยแพทย์กระดูกและข้อแพทย์ผู้ชำนาญการด้านเวชศาสตร์การกีฬา กล่าวว่า “แน่นอนว่า การนั่งนาน หรือการไม่ค่อยขยับร่างกาย ส่งผลต่อกระดูกและข้อ และกล้ามเนื้อทำให้เกิดการตึงตัวได้ง่าย จะเห็นว่ามนนุษย์ออฟฟิศที่นั่งหน้าคอมนานๆ จะมีปัญหา ปวดคอ บ่า ไหล่ ลักษณะเหมือนออฟฟิศซินโดรม นอกจากนั้น การเจ็บปวดอาจทำให้เราไม่กล้าออกกำลังกาย ก็ส่งผลให้กล้ามเนื้อต่างๆ อ่อนแรงลง มีอาการปวดง่ายแม้แต่การทำกิจวัตรประจำวันง่ายๆ ที่เคยทำได้ก็ตาม

    “การนั่งนานๆ จะเห็นชัดในผู้สูงอายุ และผู้หญิงที่หมดประจำเดือน เนื่องจากการไม่ขยับร่างกาย หรือแม้แต่การกระแทกเบาๆ ส่งผลให้กระดูกพรุนหรือบางได้โดยง่าย มีความเสี่ยงทำให้กระดูกหัก เมื่อเราน้ำหนักเพิ่มขึ้นแรงที่กระทำต่อข้อต่างๆ เช่น สะโพก ข้อเข่า ข้อเท้า ก็จะมีแรงกระทำที่มากขึ้นส่งผลให้เจ็บข้ออื่นๆ ตามมาได้ ดังนั้น วิธีออกกำลังกายที่แนะนำคือ การออกกำลังแบบแรงกระแทกต่ำ เช่น เดิน วิ่งเหยาะๆ” นายแพทย์ปฐมฉัฐ กล่าว


นายแพทย์ปฐมฉัฐ พิสิฐวัฒนากรณ์


    สำหรับศูนย์กระดูกและข้อ รพ. วิมุต นำเสนอระบบรักษาที่ครบครันสำหรับโรคกระดูกและข้อ อาทิ เครื่องเอกซเรย์ดิจิทัลความละเอียดสูงแบบ Auto Stitching X-Ray สำหรับตรวจภาพแนวยาวของกระดูกสันหลังทั้งแนว, เครื่องตรวจวัดความหนาแน่นของกระดูกและองค์ประกอบร่างกาย (Bone Mineral Density & Whole Body Composition Scan), เครื่อง MRI เพื่อสร้างภาพโครงสร้างกระดูกและข้อต่ออย่างละเอียด เพื่อระบุสาเหตุของอาการปวดได้อย่างตรงจุด และการผ่าตัดส่องกล้องแผลเล็ก ซึ่งช่วยลดความเจ็บ ฟื้นตัวไว

    นอกจากนี้ ศูนย์กระดูกและข้อ รพ. วิมุต ยังให้ความสำคัญกับ Personalized Orthopedic Care โดยทีมแพทย์จะออกแบบแผนการรักษาให้เหมาะกับสภาพร่างกาย พฤติกรรม และความต้องการของผู้ป่วยแต่ละราย ผู้ป่วยจะได้รับการติดตามผลอย่างต่อเนื่องทั้งก่อนและหลังการรักษา รวมถึงเข้ารับการฟื้นฟูในศูนย์เวชศาสตร์ฟื้นฟู (Rehabilitation Center) และศูนย์ดูแลต่อเนื่อง (Transitional Care Ward) ที่มีทีมสหสาขาวิชาชีพดูแลอย่างใกล้ชิด

    ไม่เพียงเท่านั้น ยังมีการดูแลโดยนักกำหนดอาหาร ที่เข้ามาช่วยวางแผนโภชนาการทางการแพทย์เฉพาะบุคคล ควบคุมเรื่องน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม และการคำนวณโปรตีนให้เหมาะสมกับการรักษาด้วย

    นายแพทย์สุวาณิช กล่าวว่า "ปัจจุบัน รพ.วิมุต มีศูนย์เฉพาะทาง 21 ศูนย์ ส่วนศูนย์ไฮไลต์ที่เปิดในปีนี้มี 3 ศูนย์ ได้แก่ ปอด หัวใจ กระดูกและข้อ ส่วนในปีหน้าจะเปิดเพิ่มอีก 3 ศูนย์ และยังวางแผนลงทุนทางการแพทย์เพิ่มเติมอีกในอนาคต

    “คนไข้ของ รพ.วิมุต ส่วนใหญ่เป็นคนไทย 90% ต่างชาติ 10% โดยกลุ่มต่างชาติที่เข้ามารักษา มีทั้งกัมพูชา เมียนมา ลาว รวมถึงจีน ทั้งนี้ เรามีความตั้งใจที่จะให้สัดส่วนของต่างชาติขึ้นเป็น 30% ในอีก 3 ปีข้างหน้า” นายแพทย์สุวาณิช กล่าว



ภาพ: Freepik และโรงพยาบาลวิมุต


เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : ‘กลุ่ม รพ.รามคำแหง’ รีแบรนด์ครั้งใหญ่ ขอลบภาพโรงพยาบาลคนแก่ ปรับภาพลักษณ์ ขยายฐานสู่คนรุ่นใหม่

ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine