ด้วยยุคสมัยที่เปลี่ยนแปลงไป วิถีชีวิต การทำงาน และไลฟ์สไตล์ของผู้คนยุคใหม่จึงต้องปรับเปลี่ยนให้สอดคล้องกับบริบทในสังคมตามไปด้วย ในเรื่องของเชิงธุรกิจและการตลาด หลากหลายแบรนด์จึงต้องทำการโฟกัสวิเคราะห์เจาะจงกลุ่มลูกค้าหรือผู้บริโภคที่เป็นเป้าหมายหลักของตัวสินค้าและบริการให้ชัดเจนมากขึ้นตามด้วย
โดย ณ ปัจจุบัน มีการจำแนกและให้คำจำกัดความถึงกลุ่มคนที่มีพฤติกรรม รูปแบบการใช้ชีวิต และฐานะทางเศรษฐกิจ ที่มีอำนาจในการจับจ่ายใช้สอยสิ่งต่างๆ ไว้อย่างชัดเจนขึ้น จากกลุ่มคน 4 ประเภท ดังนี้
1. HENRYs
มาจาก High Earners, Not Rich Yet หมายถึง กลุ่มคนที่มีรายได้สูง แต่ยังไม่รวยสักที มีที่มาครั้งแรกจากนิตยสาร Fortune ปี 2003 ใช้เรียกเซกเมนท์ครอบครัวที่มีรายได้สูงราวๆ 2.5- 5 แสนเหรียญสหรัฐ แต่ไม่ค่อยเงินเหลือเก็บเพราะมีค่าใช้จ่ายสูง เช่น ค่าภาษี ค่าเล่าเรียนลูก ค่าผ่อนบ้าน ค่าใช้จ่ายในครอบครัว จนถึงอาจไม่มีการเก็บออมสำหรับเกษียณมากเท่าที่ควร
ณ ปัจจุบัน HENRYs กลายเป็นคำเรียนกลุ่ม Gen Millennials หรือ Gen Y ที่มีหน้าที่การงานดี รายได้สูง แต่ก็มีพฤติกรรมใช้จ่ายไปกับไลฟ์สไตล์ช้อป กิน เที่ยวอย่างหรูหราจนไม่มีเงินเหลือเก็บ กล่าวคือแม้จะหาเงินมาได้มาก แต่ก็ใช้จ่ายหนักมากด้วยเช่นกัน คนกลุ่มนี้ จึงถือเป็นกลุ่มลูกค้าเป้าหมายมูลค่ามหาศาลของสินค้าลักชัวรี่แบรนด์ต่างๆ ที่มีการกำหนดกลยุทธ์การตลาดสำหรับกลุ่ม HENRYs ไว้โดยเฉพาะ
![](https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/03/7HKW3aGwdU3A2q6H2NTz.jpg)
2. SINKs
ย่อมาจากคำว่า Single Income No Kids หมายถึงคนโสดที่มีรายได้แต่ไม่มีลูก โดยคนโสดเหล่านี้มักจะนิยมใช้จ่ายเพื่อสร้างความสะดวกสบายและซื้อความสุขปรนเปรอให้แก่ตนเอง เพราะไม่มีภาระต้องรับผิดชอบจากการเลี้ยงดูแลลูก
![](https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/03/FQjUxetnw2A33FkHqciU.jpg)
3. DINKs
ย่อมาจาก Double Income No Kids หมายถึง คู่แต่งงานมีรายได้สูงทั้งคู่และไม่มีลูก ซึ่งกลุ่มคนเหล่านี้ ไม่ได้หมายถึงเฉพาะคู่หนุ่มสาวข้าวใหม่ปลามันอย่างเดียว แต่ยังรวมไปถึงคู่สามีภรรยาสูงอายุที่ลูกๆ เติบโตจนย้ายออกจากบ้านไปดูแลตัวเองได้แล้ว รวมถึงคู่ชีวิต LGBTQ และคู่แต่งงานที่ตัดสินใจไม่มีลูก (Childless Couple) ที่ไม่ต้องกังวลในเรื่องค่าใช้จ่ายสำหรับการเลี้ยงลูก ทำให้คนกลุ่มนี้มีเงินเหลือมาเก็บออมลงทุนหรือใช้จ่ายเพื่อความสะดวกสบายของตัวเองได้มากขึ้น อีกทั้งกลุ่ม DINKs ยังมีค่าใช้จ่ายในบ้านต่อคนน้อยกว่ากลุ่ม SINKs ที่เป็นคนโสด เพราะพวกเขาสามารถแชร์ค่าใช้จ่ายกับคู่ของตัวเองได้
ทั้งนี้ กลุ่ม SINKs และ DINKs ถือเป็นกลุ่มที่หมายปองของเหล่าบรรดาสินค้าลักชัวรี่ในกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค และภาคธุรกิจท่องเที่ยว ยกตัวอย่าง เช่น รถยนต์ราคาแพง แพ็คเกจโรงแรมหรู รวมถึงผลิตภัณฑ์การลงทุนต่างๆ และเมื่อไม่ต้องมีภาระค่าใช้จ่ายก้อนใหญ่เกี่ยวกับลูก นี่จึงกลายเป็นโอกาสให้คนกลุ่มนี้สามารถนำเงินบางส่วนนี้มาเก็บออมและลงทุนในหุ้น พันธบัตร หุ้นกู้ รวมถึงผลิตภัณฑ์การลงทุนอื่นๆ ที่จะช่วยสร้างความมั่งคงให้กับตัวเองและครอบครัวได้
![](https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/03/EZnUM84JzDHDEzXukmLc.jpg)
4. PANKs
ย่อมาจาก Professional Aunt, No Kids ถือเป็นคำจำกัดความเรียกกลุ่มผู้หญิงโสดที่มีอายุ 30 ปีขึ้นไป มีรายได้ และอาชีพหน้าที่การงานดี บทความ “The Rise of PANKs and What That Means for Startup Culture” ได้กล่าวถึงแนวโน้มของกลุ่ม PANKs ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ด้วยว่า ปัจจุบันมีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จากการที่มีผู้หญิงจำนวนมากได้รับสนับสนุนทักษะความสามารถด้านผู้ประกอบการให้สร้างธุรกิจของตัวเอง
ยิ่งถ้าผู้หญิงทำธุรกิจของตัวเองมากขึ้นเท่าไหร่ แนวโน้มที่จะเกิดประชากรกลุ่ม PANKs ก็มากขึ้นเท่านั้น เพราะจะเอาเวลาในช่วงอายุ 20 มาทุ่มเทสร้างธุรกิจ มากกว่าที่จะหาคู่เพื่อแต่งงานมีลูกให้ทันช่วงวัยที่สังคมตั้งเกณฑ์เอาไว้ที่อายุ 30 ปี ยิ่งกว่านั้นการบุกเบิกธุรกิจใหม่ๆ ก็ต้องทุ่มเทเวลา พลังงานมาก และถ้าเป็นธุรกิจสตาร์ทอัพที่ต้องเรียนรู้ตลอดเวลา ทำงานไม่จำกัดเวลา มีความไม่แน่นอนสูง จึงเป็นความท้าทายอย่างมากที่ผู้หญิงคนหนึ่งจะแบกความรับผิดชอบในฐานะแม่ สร้างธุรกิจสตาร์ทอัพไปพร้อมๆ กัน และบาลานซ์ทั้งสองอย่างให้ลงตัว ผู้ประกอบการหญิงหลายคนจึงเลือกที่จะสร้างธุรกิจให้เป็นลูกของพวกเธอแทน
![](https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/03/X8pxzEZuywasSWzjZLHY.jpg)
อย่างไรก็ตาม กลุ่ม PANKs ถือเป็นอีกหนึ่งเซกเมนต์ที่นักการตลาดพุ่งเป้าให้ความสำคัญ ด้วยเงินรายได้ที่มีอย่างเหลือเฟือและไม่มีครอบครัวเป็นของตัวเอง แต่ธุรกิจที่ขายสินค้าให้แก่เด็กและคนเป็นพ่อแม่ก็อย่ามองข้ามคนกลุ่ม PANKs เหล่านี้ เพราะคุณป้ากลุ่มนี้มีอิทธิพลชักจูงใจเด็กๆ และพ่อแม่เด็กที่อยู่รอบตัว
และจากการสำรวจกว่า 68% กลุ่ม PANKs จะเป็นแบบอย่างให้กับเด็กๆ ที่รู้จัก เช่น หลาน ลูกของเพื่อน ขณะที่ 67% กล่าวว่าพวกเขามักจะมีเพื่อนมาขอคำปรึกษาในการตัดสินใจเพื่อเลือกซื้อสิ่งของต่างๆ และ 2 ใน 3 ของคนกลุ่ม PANKs จะรู้สึกว่าดีใจที่ไม่ต้องมีลูกเอง ซึ่งคำว่า “Aunt” จากเดิมที่เคยเป็นคำเรียกจิกกัด ก็ได้แปรเปลี่ยนมาเป็นความหมายใหม่ที่นิยามถึงผู้หญิงที่ประสบความสำเร็จในโลกการทำงาน มีรายได้ดี ดูแลพึ่งพาตัวเองได้อย่างสง่างาม
![](https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2024/03/fUNrvULFHB1wZX6tsxdV.jpg)
เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : 5 วิธีรับมือพฤติกรรม HENRY "กินหรู อยู่สบาย" รายได้สูง แต่ไม่มีเงินเหลือเก็บ