“คาราบาวกรุ๊ป” โชว์รายได้ไตรมาส 1/67 อยู่ที่ 4,935 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 20% จากปีก่อนหน้า กำไร 628 ล้านบาท เบียร์คาราบาวและตะวันแดงช่วยหนุน สร้างการรับรู้ให้เครื่องดื่มบำรุงกำลัง
บริษัท คาราบาวกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ CBG รายงานผลการดำเนินงาน ไตรมาส 1/2567 มีรายได้จากการขายรวมเท่ากับ 4,935 ล้านบาท เพิ่มขึ้น +20% YoY โดยในจำนวนนี้เป็นรายได้จากการดำเนินการผลิตภายใต้เครื่องหมายการค้าของตนเองจำนวน 2,838 ล้านบาท เพิ่มขึ้น +14% YoY จากทั้งธุรกิจในประเทศและต่างประเทศ โดยเฉพาะกลุ่มประเทศ CLMV ที่กลับมาฟื้นตัวดีขึ้น
นอกจากนี้ บริษัทฯ มีรายได้จากการรับจ้างจัดจำหน่ายให้แก่บุคคลภายนอก จำนวน 1,823 ล้านบาท เพิ่มขึ้น +24% YoY จากการจัดจำหน่ายสินค้าประเภทเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นหลัก
ในขณะที่รายได้จากการจำหน่ายสินค้ากลุ่มอื่นๆ เท่ากับ 202 ล้านบาท เพิ่มขึ้น +65% YoY จากการผลิตและจำหน่ายขวดแก้ว กระป๋องอะลูมิเนียม และบรรจุภัณฑ์ต่างๆ ให้แก่บริษัทคู่ค้าและคู่ค้าผู้ผลิตเบียร์คาราบาวและเบียร์ตะวันแดง
กลุ่มคาราบาว ยังระบุอีกว่า รายได้จากการขายในประเทศจำนวน 1,318 ล้านบาท เพิ่มขึ้น +13% YoY จากการเติบโตของเครื่องดื่มคาราบาวแดง เป็นผลจากการที่บริษัทฯ ยังคงดำเนินกลยุทธ์หลักคงราคาขายปลีกที่ 10 บาท ช่วยคนไทยลดค่าครองชีพ ควบคู่กับการสานต่อกิจกรรมทางการตลาดร่วมกับไทยรัฐ ภายใต้แคมเปญบาวแดงช่วยคนไทยสร้างอาชีพช่องไทยรัฐทีวีต่อเนื่องเป็นปีที่ 3
ประกอบกับบริษัทฯ ยังคงความแข็งแกร่งจากการกระจายสินค้าผ่านช่องทางหน่วยรถเงินสดที่มีอยู่เดิม และการวางพื้นฐานการกระจายสินค้าในโครงข่ายผ่านช่องทางการค้าแบบดั้งเดิม (Traditional trade) ให้กว้างขวางและครอบคลุมในระดับอำเภอทั่วทั้งประเทศ
จากประสิทธิภาพจากการกระจายสินค้าที่ครอบคลุม การสื่อสารที่เข้าถึงผู้บริโภคในการตอกย้ำจุดแข็งของผลิตภัณฑ์และราคาขาย ในขณะที่คู่แข่งหลักได้ปรับราคาขายขึ้นเป็น 12 บาท
ประกอบกับการออกสินค้าใหม่ ได้แก่ เบียร์คาราบาวและเบียร์ตะวันแดง ส่งผลทางอ้อมในเชิงบวกให้แบรนด์ “คาราบาวแดง” เป็นที่รู้จักในวงกว้างและเข้าถึงผู้บริโภคในวัยหนุ่มสาวและวัยทำงานมากขึ้น จึงช่วยกระตุ้นการรับรู้และผลักดันยอดขายเครื่องดื่มบำรุงกำลังคาราบาวแดงในประเทศ ส่งผลให้ส่วนแบ่งทางการตลาดเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเพิ่มขึ้น +10% YoY
ส่วนรายได้จากการส่งออกไปยังตลาดต่างประเทศจำนวน 1,520 ล้านบาท เพิ่มขึ้น +15% YoY จากกลุ่มประเทศ CLMV ที่กลับมาฟื้นตัวดีขึ้นเป็นหลัก
โดยที่ผ่านมาบริษัทฯ ร่วมมือกับคู่ค้าทำการตลาดและกิจกรรมส่งเสริมการขายในประเทศกัมพูชา เมียนมา และเวียดนามในรูปแบบที่หลากหลายและมีประสิทธิภาพ เช่น การจัดแคมเปญส่งเสริมการขาย การสนับสนุนการแข่งขันมวย การจัดคอนเสิร์ตพร้อมกับแจกผลิตภัณฑ์ตัวอย่างของบริษัทฯ เป็นต้น
นอกจากนี้ รายได้จากการส่งออกไปยังประเทศเวียดนามยังคงเติบโตต่อเนื่อง ภายหลังจากการร่วมมือกับคู่ค้ารายใหม่ที่มีความสามารถในการกระจายสินค้าให้ครอบคลุมในพื้นที่และเข้าใจตลาด บริษัทฯ คาดว่าประเทศเวียดนามเป็นประเทศที่มีโอกาสสร้างยอดขายที่เพิ่มขึ้นได้อย่างมีนัยสำคัญ
สำหรับรายได้จากการรับจ้างจัดจำหน่ายให้แก่บุคคลภายนอกจำนวน 1,823 ล้านบาท เพิ่มขึ้น +24% YoY มีปัจจัยเชิงบวกจากความหลากหลายและคุณภาพในตัวผลิตภัณฑ์ซึ่งทำให้สินค้าประเภทเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ประสบความสำเร็จและได้รับความนิยมจากผู้บริโภคเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
จากประสิทธิภาพการกระจายสินค้าที่ครอบคลุมของทุกช่องทางการขาย ได้แก่ การกระจายผ่านหน่วยรถเงินสดจำนวนมากกว่า 300 คันที่สามารถเข้าถึงร้านค้าปลีกทั่วประเทศ และการกระจายสินค้าในโครงข่ายผ่านช่องทางการค้าแบบดั้งเดิม (Traditional trade) ให้กว้างขวางและครอบคลุมในระดับอำเภอทั่วประเทศ ประกอบกับกลยุทธ์การนำ “เบียร์” มาเป็นเครื่องมือทำการตลาดจึงส่งผลให้ธุรกิจเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เติบโตและแข็งแกร่งขึ้นอีกด้วย
บริษัทฯ มีกำไรขั้นต้นจำนวน 1,321 ล้านบาท เพิ่มขึ้น +30% YoY คิดเป็นอัตรากำไรขั้นต้นที่ 27% เพิ่มขึ้นจากในช่วงระยะเวลาเดียวกันในปีก่อนหน้าซึ่งอยู่ที่ 25% จากกำไรขั้นต้นของสินค้าที่ดำเนินการผลิตภายใต้เครื่องหมายการค้าของตนเองปรับตัวดีขึ้น เมื่อเทียบกับช่วงระยะเวลาเดียวกันในปีก่อนหน้าและไตรมาสก่อนหน้า ถึงแม้ว่าราคาน้ำตาลซึ่งเป็นวัตถุดิบหลักทยอยปรับตัวสูงขึ้นตามสภาวะตลาด อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ สามารถบริหารจัดการวัตถุดิบอื่นเพื่อลดต้นทุนได้เป็นอย่างดี
ตลอดจนต้นทุนพลังงานที่ใช้ในกระบวนการผลิตที่ปรับตัวลดลงเมื่อเทียบกับช่วงระยะเวลาเดียวกันในปีก่อนหน้า ประกอบกับปริมาณการผลิตที่เพิ่มขึ้น
สอดคล้องกับยอดขายทั้งในประเทศและต่างประเทศโดยเฉพาะกลุ่มประเทศ CLMV ที่กลับมาฟื้นตัวดีขึ้น ส่งผลต่อต้นทุนผลิตที่ลดลงจากประหยัดต่อขนาด (Economies of scale) ในขณะที่ส่วนผสมของความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ตามยอดขาย (Product mix) ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปเมื่อเทียบกับช่วงระยะเวลาเดียวกันในปีก่อนหน้าและไตรมาสก่อนหน้า
สำหรับกำไรสุทธิส่วนที่เป็นของผู้ถือหุ้นบริษัทฯ เท่ากับ 628 ล้านบาท เพิ่มขึ้น +138% YoY สะท้อนยอดขายที่เพิ่มขึ้น ต้นทุนที่ปรับตัวลดลง การควบคุมค่าใช้จ่ายดำเนินงานให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุง ตามที่กล่าวข้างต้น รวมถึงการแบ่งปันสิทธิผู้สนับสนุนการแข่งขันฟุตบอล EFL ให้แก่บริษัทคู่ค้าในกลุ่มธุรกิจผู้ผลิตเบียร์คาราบาวและเบียร์ตะวันแดงเพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการสื่อสารและทำการตลาด
เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : ‘ซีพี แอ็กซ์ตร้า’ ไตรมาส 1/67 กำไรสุทธิ 2,481 ล้าน พุ่งขึ้น 15%
ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine