AURORA เดินหน้าธุรกิจขายฝาก "ทองมาเงินไป" ตั้งเป้าปี 2566 พอร์ตลูกหนี้โต 2.8 พันล้านบาท - Forbes Thailand

AURORA เดินหน้าธุรกิจขายฝาก "ทองมาเงินไป" ตั้งเป้าปี 2566 พอร์ตลูกหนี้โต 2.8 พันล้านบาท

FORBES THAILAND / ADMIN
15 Dec 2022 | 05:28 PM
READ 2744

AURORA ลุยธุรกิจขายฝากทองและอัญมณีมีค่า ต่อยอดแบรนด์ “ทองมาเงินไป” ตั้งเป้า ปี 2566 ขยายพอร์ตลูกหนี้เติบโตทะลุ 2.8 พันล้านบาท พร้อมขยายสาขาให้เข้าถึงกลุ่มลูกค้าทุกจังหวัดทั่วประเทศเป็น 409 สาขา ภายในปี 2567


    อนิพัทย์ ศรีรุ่งธรรม ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายงานการตลาด บริษัท ออโรร่า ดีไซน์ จำกัด (มหาชน) หรือ AURORA (ชื่อหุ้น: AURA) เปิดเผยว่า การดำเนินธุรกิจของ AURORA แบ่งเป็น 2 กลุ่มหลัก ประกอบด้วย 1. ธุรกิจค้าปลีกทองรูปพรรณ เครื่องประดับ, ของขวัญที่ทำมาจากทองคำและเครื่องประดับเพชร 2. ธุรกิจขายฝากทองรูปพรรณและเครื่องประดับที่มีทองคำและเพชรเป็นส่วนประกอบ (ธุรกิจขายฝาก) 

    โดยวางเป้าหมายก้าวสู่ผู้นำร้านทองคำของประเทศไทยด้วยผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพและความหลากหลายทั้ง 5 แบรนด์ ได้แก่ AURORA, เซ่งเฮง, ทองมาเงินไป, ของขวัญ by AURORA และ AURORA Diamond ซึ่งปัจจุบันมีสาขาจำนวนทั้งสิ้น 266 สาขา แบ่งเป็นกรุงเทพฯและปริมณฑล 146 สาขา และต่างจังหวัด 120 สาขา สร้างยอดขายรวมประมาณปีละ 30,000 ล้านบาท พร้อมเดินหน้าขยายสาขาให้ครอบคลุมเป็น 409 สาขา ภายในปี 2567 เพื่อให้เข้าถึงลูกค้าทุกกลุ่มทุกจังหวัดทั่วประเทศ

    ทั้งนี้ แบรนด์ “ทองมาเงินไป” เกิดจากแนวคิดที่ต้องการช่วยเหลือลูกค้าให้เข้าถึงแหล่งเงินได้ง่ายในอัตราดอกเบี้ยที่เหมาะสมอย่างถูกกฎหมายและสะดวกยิ่งขึ้น ซึ่งจากการเปิดให้บริการมากว่า 3 ปี นับตั้งแต่การเปิดสาขาครั้งแรกในปี 2562 เห็นได้ชัดว่าบริการนี้มีแนวโน้มดีขึ้นอย่างต่อเนื่องมีรายได้เติบโตไม่ต่ำกว่าร้อยละ 45 ต่อปี และมียอดผู้ใช้บริการมากกว่า 130,000 คน ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจเนื่องจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ส่งผลกระทบต่อธุรกิจและการใช้ชีวิตของผู้คนในวงกว้างทำให้เกิดภาวะสุญญากาศทางการเงินแบบฉับพลัน 

    บริการขายฝากทองมาเงินไป จึงเป็นทางออกให้กับกลุ่มคนที่มีปัญหาทางการเงิน ด้วยจุดเด่นกับแนวคิดในการให้บริการที่ชัดเจน ได้แก่ 1.ให้วงเงินสูง 2. ไม่ต้องมีคนค้ำ รับเงินสดได้ทันที 3. ดอกเบี้ยต่ำเพียงร้อยละ 1.25 ต่อเดือน 4. มีสาขาให้บริการมากกว่า 200 สาขาทั่วประเทศ ทำให้ทองมาเงินไปได้รับการยอมรับและไว้วางใจจากลูกค้าได้อย่างรวดเร็วกลายเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่ดีสำหรับกลุ่มลูกค้าที่มีทรัพย์สินเป็นทองคำและต้องการเปลี่ยนเป็นเงินสด 


    

    นอกจากนี้ เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับลูกค้าอย่างสูงสุดและเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินธุรกิจในยุคดิจิทัล AURORA ได้พัฒนาแอปพลิเคชัน “ทองมาเงินไป” ให้เป็นช่องทางใหม่ในการรับบริการชำระดอกเบี้ย, เช็คสถานะสัญญาขายฝากทองได้ทุกที่และทุกเวลา, ชำระอัตราดอกเบี้ยเพื่อต่อสัญญา, เช็คราคารับขายฝากทองแบบเรียลไทม์, ค้นหาห้างเพชรทองออโรร่าและทองมาเงินไปสาขาใกล้เคียง พร้อมรับรู้ข่าวสารโปรโมชันสำหรับผู้ใช้บริการมากมายรวมถึงแจ้งเตือนลูกค้าสำหรับสัญญาที่จะหมดอายุ เพื่อป้องกันทรัพย์สินหลุดขายฝาก ซึ่งเป็นบริการที่ทำให้การขายฝากทองคำง่ายและสะดวกขึ้น ลูกค้าสามารถชำระดอกเบี้ยได้โดยไม่ต้องมาที่สาขา

    อนิพัทย์ กล่าวเพิ่มเติมว่า หนึ่งกลยุทธ์สำคัญที่ทำให้แบรนด์ “ทองมาเงินไป” เติบโตอย่างก้าวกระโดดคือ การมีพาร์ทเนอร์ที่แข็งแกร่ง ซึ่งในปีนี้ต่อเนื่องไปถึงปี 2566 บริษัทได้จับมือกับพาร์ทเนอร์มากมาย อาทิ ร่วมกับร้าน CJ MORE พัฒนาโมเดลการขยายธุรกิจ, ร่วมกับธนาคารกสิกรไทยพัฒนาเทคโนโลยีการชำระเงิน 

    โดยล่าสุดได้ร่วมกับ LINE BK ออกโปรโมชั่นส่งมอบความพิเศษให้กับผู้ใช้งาน LINE BK ผ่านทาง LINE Official Account เมื่อผู้ใช้งานได้รับข้อความและเข้าใช้บริการขายฝากทองคำที่ห้างเพชรทองออโรร่าในห้างทุกสาขา หรือร้านทองมาเงินไปในชุมชนใกล้บ้าน ภายใน 120 วัน จะได้รับวงเงินพิเศษเพิ่มร้อยละ 2 จากราคาขายฝาก เริ่มตั้งแต่วันนี้ ถึง 31 ตุลาคม 2566 ปัจจุบันได้ผลตอบรับเป็นอย่างดี พร้อมกันนี้ “ทองมาเงินไป” ยังอยู่ในช่วงการเจรจากับพาร์ทเนอร์อื่น ๆ เพื่อหาแนวทางร่วมธุรกิจกันและสร้างความพึงพอใจสูงสุดแก่ลูกค้า



    สำหรับกลุ่มลูกค้าหลักของ “ทองมาเงินไป” ส่วนใหญ่คือเพศหญิงและกว่าร้อยละ 90 เป็นกลุ่มคนวัยทำงาน อายุระหว่าง 28-45 ปี มีอาชีพรับจ้างทั่วไป พ่อค้าแม่ค้า อาชีพอิสระ ส่วนที่เหลือเป็นกลุ่มพนักงานหรือลูกจ้างเอกชนที่มีทรัพย์เป็นทองคำ และต้องการเปลี่ยนทองคำเป็นเงินสด โดยลูกค้ามีความจำเป็นในการใช้เงินและเข้าได้มาใช้บริการสูงสุดในช่วงเดือนมีนาคม - พฤษภาคม และตุลาคม เนื่องจากเป็นช่วงเปิดเทอมใหม่ของบุตรหลาน

    นอกจากนี้ จากข้อมูลที่น่าสนใจยังระบุว่า กลุ่มลูกค้าขายฝากที่ทำธุรกรรมผ่านแอปพลิเคชันจะมีรอบการต่อดอกเบี้ยยาวนานที่สุด ถือเป็นจุดเด่นและข้อได้เปรียบของบริษัทที่จะนำไปพัฒนาบริการเพื่อเสนอบริการอื่นๆ ให้กับกลุ่มลูกค้านี้ได้อีกในอนาคต  

    “เราตั้งเป้าขยายพอร์ตลูกหนี้ขายฝากของทองมาเงินไปให้เติบโตมากกว่า 2,800 ล้านบาท ในปี 2566 ผ่านกลยุทธ์ Customer centric ที่มุ่งเน้นการบริการที่สร้างประสบการณ์ที่ดีให้แก่ลูกค้าเป็นสำคัญ และยังเน้นขยายสาขาให้เข้าถึงแหล่งชุมชนมากขึ้นทุกพื้นที่ทั่วประเทศ ความท้าทายของธุรกิจนี้คือ ต้องปรับตัวให้เข้ากับทุกสถานการณ์อยู่เสมอ และยังต้องมองหาโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ มาเสริมทัพให้บริษัทมีความแข็งแกร่งเติบโตอย่างยั่งยืน และในฐานะของทายาทรุ่นที่ 3 ถือเป็นความโชคดีที่เรามีโอกาสเรียนรู้จากรุ่นสู่รุ่น ไม่ว่าจะเจอวิกฤตต่างๆ ก็ยังมีผู้มากประสบการณ์ให้คำปรึกษาช่วยให้แก้ปัญหาได้เป็นอย่างดี” อนิพัทย์ กล่าวทิ้งท้าย


อ่านเพิ่มเติม: ​


​ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine


 



TAGGED ON