แอลจี อีเลคทรอนิคส์ (ประเทศไทย) เปิดตัวแอลจี MULTI V 5 เครื่องปรับอากาศแบบ VRF รุ่นใหม่ล่าสุดชูจุดขายประสิทธิภาพการทำงานและความคุ้มค่า ยกเครื่องทีมการทำงานวางเป้าหมายสูงสู่เบอร์ 2 อุตสาหกรรมเครื่องปรับอากาศเชิงพาณิชย์ เตรียมงบประมาณการตลาดกว่า 40 ล้านบาท ในปี 2561
ซาง มิน ลี รองประธานบริหารฝ่ายขายและฝ่ายการตลาด ประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกกลางและจีน ร่วมเปิดตัวนวัตกรรมใหม่สู่วงการเครื่องปรับอากาศเชิงพาณิชย์ด้วย แอลจี MULTI V 5 ครั้งแรกของโลกกับเทคโนโลยี Dual Sensing Control
“เราภูมิใจเป็นอย่างยิ่งกับแอลจี มัลติ วี 5 ระบบปรับอากาศรุ่นใหม่จากโซลูชั่นส์แฟล็กชิพของแอลจี แอลจี มัลติ วี 5 คือระบบ VRF รุ่นที่ 5 ของเรา ซึ่งอัดแน่นด้วยนวัตกรรมเทคโนโลยีเพื่อมอบประสิทธิภาพการประหยัดพลังงานและความสะดวกสบายที่ดียิ่งกว่าเดิม และเพื่อเปิดโอกาสให้ผู้บริโภคสามารถเข้าถึงเทคโนโลยีการควบคุมสภาพอากาศได้มากขึ้น แอลจี มัลติ วี 5 ยังช่วยลดค่าใช้จ่ายลงอย่างเห็นได้ชัดและมอบความสะดวกสบายที่เหนือกว่าแก่ลูกค้าของเราทั่วโลก”
ซาง มิน ลี กล่าวเสริมถึงจุดเด่นที่สำคัญของแอลจี MULTI V 5 อาทิ เทคโนโลยี Dual Sensing Control ซึ่งช่วยให้เครื่องปรับอากาศประเมินสภาพอากาศตรวจวัดทั้งระดับอุณหภูมิและความชื้นสัมพัทธ์ทั้งภายในห้องและภายนอก ขนาดของคอมเพรสเซอร์ที่เล็กลง ระบบการจัดการน้ำมันภายใน ใบพัดไบโอไมเมติกส์ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากครีบของปลาวาฬหลังค่อม สารเคลือบ Ocean Black Fin และระบบ Dual Protection ซึ่งมีความหนาถึง 2 ชั้นและเคลือบทั้ง 2 ด้าน ช่วยปกป้องจากสารกัดกร่อน เช่น ไอเกลือ ทราย และสารอันตรายอื่น ๆ ที่มาพร้อมลมทะเลและมลพิษจากโรงงานอุตสาหกรรม
โดยระบบ Dual Sensing Control ยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้โหมดทำความร้อนต่อเนื่องหรือ Continuous Heating ด้วยการเพิ่มศักยภาพการทำความร้อนและเพิ่ม ความสะดวกสบายภายในห้อง ทั้งยังเพิ่มระยะเวลาทำความร้อนต่อวันสูงขึ้นถึง 11% และลดการใช้พลังงานลดถึง 7 %
ธีระวัฒน์ จูงหัตถการสาธิต ผู้จัดการฝ่ายผลิตภัณฑ์เครื่องปรับอากาศเชิงพาณิชย์ บริษัท แอลจี อีเลคทรอนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด เผยถึงภาพรวมของอุตสาหกรรมเครื่องปรับอากาศอยู่ที่ราว 3.3 หมื่นล้านบาท เป็นสัดส่วนระหว่างเครื่องปรับอากาศเพื่อการอยู่อาศัยที่จำนวน 51 % และ เครื่องปรับอากาศเพื่อการพาณิชย์ 49% โดยในกลุ่มเชิงพาณิชย์เองยังแบ่งเป็นเครื่องปรับอากาศเชิงพาณิชย์ขนาดเล็ก (SCAC) มีสัดส่วน 41% มูลค่าราว 6.9 พันล้านบาท ตั้งเป้าเป็นอันดับที่ 5 ในปี 2561 เครื่องปรับอากาศเชิงพาณิชย์ระบบใหญ่ (VRF) มีสัดส่วน 34% มูลค่าราว 5.75 พันล้านบาท ตั้งเป้าเป็นอันดับที่ 2 ในปี 2561 และ กลุ่มเครื่องปรับอากาศเชิงพาณิชย์ที่ระบายความร้อนด้วยน้ำ (Chiller) มีสัดส่วน 10% มูลค่าตลาดราว 4.2 พันล้านบาท โดยในกลุ่มนี้แอลจี ประเทศไทย ตั้งเป้าเป็นอันดับที่ 5 ในปี 2563
“สำหรับเป้าหมายปี 2561 ของเครื่องปรับอากาศเชิงพาณิชย์ระบบใหญ่ หากต้องการขึ้นเป็นอันดับที่ 2 นั้น แอลจี ประเทศไทยต้องเพิ่มสัดส่วนราว 24% ซึ่งตลาด VRF นี้เอง แอลจี มัลติ วี 5 จะเป็นเรือธงสำคัญและเป็นเครื่องปรับอากาศเชิงพาณิชย์ที่มีนวัตกรรมระดับโลกในการบุกตลาดทั้งกรุงเทพฯ ปริมณฑล และหัวเมืองใหญ่ในทุกภูมิภาค” ธีระวัฒน์ จูงหัตถการสาธิต กล่าว
ด้าน
ยุทธการ บริบูรณ์ ผู้อำนวยการฝ่ายขายผลิตภัณฑ์เครื่องปรับอากาศเชิงพาณิชย์ กล่าวเสริมถึงภาพรวมของตลาด VRF ที่ปัจจุบันภายในประเทศมีจำนวนคอมเพรสเซอร์ราว 12,000 ชุด โดย แอลจีมีสัดส่วนราว 10 % โดยคู่แข่งที่อยู่ในลำดับสองมีสัดส่วนราว 20-24% ซึ่งในปีหน้าที่การที่เราตั้งเป้าขึ้นเป็นอันดับสองถึงเป็นเรื่องที่ท้าทายเป็นอย่างมาก
“การขึ้นไปสู่อับดับสองโครงการสร้างทำงานของบริษัทเป็นสิ่งสำคัญ เราได้ว่าแผนเพิ่มสัดส่วนพนักงานที่เป็นทั้ง วิศวกร, ผู้เชี่ยวชาญทางด้านเทคนิค, เอ็นจีเนียริ่ง ดีลเลอร์ รวมถึงการปรับปรุงเรื่องการบริการหลังการขาย สร้างศูนย์บริการให้รองรับการดูแลและบริการ” ยุทธการ บริบูรณ์ และเสริมว่า
ทั้งนี้ ปัจจุบันเราทดลองนำร่องโปรแกรมเพื่อแจ้งเตื่อนและตรวจสอบการทำงานของระบบปรับอากาศแบบเรียลไทม์ ผ่านการมอนิเตอร์จากหน้าจอคอมพิวเตอร์และยังสามารถเชื่อมต่อกับโทรศัพท์มือถือ โดยได้นำร่องโปรแกรมดังกล่าวกับไทวัสดุ ใน 6 สาขาในเบื้องต้น โดยระบบปฎิบัติการดังกล่าวแอลจีจะเป็นเจ้าแรกและเจ้าเดียวที่นำมาให้บริการกับลูกค้าเพื่อการดูแลอย่างใกล้ชิด