เนเบอร์ส แอนด์ เฟรนด์ เอเจนซีด้านการตลาดและโฆษณา แนะนักการตลาดรุ่นใหม่ หนีแข่งกระแส เลิกวิ่งตามเก็บให้ครบทุกเทรนด์ ยึดมั่นในเป้าหมายสร้างการเติบโตให้กับแบรนด์ในระยะยาว เลือกกลยุทธ์ที่ใช้ตอบโจทย์ลูกค้า สร้างการเติบโตของธุรกิจ พร้อมสรุปความท้าทายที่นักการตลาดยุคดิจิทัลต้องเจอ ทั้งการเพิ่มขึ้นของแพลตฟอร์ม DATA และกลุ่มเป้าหมายที่เปลี่ยนไป
ในโลกธุรกิจที่กำลังหมุนเปลี่ยนอย่างรวดเร็ว ผนวกกับยุคสมัยนี้ที่กระแสสังคมต่างๆ เกิดขึ้นแบบไม่มีใครคาดคิด แถมมาไวไปไว รู้ตัวอีกทีเหล่าบรรดานักการตลาดรุ่นใหม่ ก็กลายเป็นคนที่วิ่งตามเทรนด์อยู่เสมอ อีกทั้งปัจจุบันมีเทคโนโลยี และนวัตกรรมใหม่ๆ ที่นักการตลาดต้องเรียนรู้และรับมือ ซึ่งบ่อยครั้งสิ่งเหล่านี้ทำให้นักการตลาดหลงทางไปว่า "เป้าหมาย" ที่พวกเขาตั้งใจหรือ "กลยุทธ์" ที่ธุรกิจนั้นๆ มีอยู่คืออะไรกันแน่
วรสิทธิ์ พาณิชสุสวัสดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ (Chief Operating Officer หรือ COO) บริษัท เนเบอร์ส แอนด์ เฟรนด์ จำกัด (NEIGHBORS AND FRIENDS COMPANY LIMITED) เอเจนซีด้านการตลาดและโฆษณา (Marketing and Advertising Agency) ผู้อยู่เบื้องหลังการสร้างยอดขายให้กับแบรนด์ต่างๆ มากมาย ก่อตั้งเมื่อ 5 ปีที่ผ่านมา ด้วยการเสนอแผนพิชชิ่งในองค์กรใหญ่ เพื่อแยกมาตั้งธุรกิจใหม่ และสามารถเติบโตอย่างก้าวกระโดดในช่วงโควิดที่ผ่านมา ด้วยวิธีคิด และกลยุทธ์ที่มีเป้าหมายชัดเจน คือการสร้างยอดขายให้ลูกค้า
ปัจจุบันนักการตลาดรุ่นใหม่ มักให้ความสำคัญกับการตามโลกให้ทัน จนกระโดดลงไปในทะเลแห่งเทรนด์ โดยที่บางคนยังไม่เข้าใจด้วยซ้ำถึงการทำงานหรือความสำคัญของกระแสที่เกิดขึ้น ซึ่งบางครั้งสิ่งนี้อาจได้ผลเพียงระยะสั้น และอาจไม่ได้ตอบโจทย์กลยุทธ์ทางธุรกิจในระยะยาว
“แน่นอนว่าเทรนด์เป็นสิ่งที่ยากจะหลีกเลี่ยง ในโลกที่พฤติกรรมของผู้คนเปลี่ยนเร็วเช่นนี้ แต่ไม่ได้บอกว่าแบรนด์ต้องวิ่งเข้าหาทุกกระแสเสมอไป เพราะส่วนใหญ่กระแส หรือเทรนด์มันจะเกิดขึ้นแค่เฉพาะช่วงวลา การเลือกหยิบเทรนด์มาใช้นั้น ต้องดูควบคู่ไปกับจุดประสงค์ของแบรนด์ ที่ต้องทั้งแม่นยำ และแน่วแน่ด้วย เพื่อให้สอดคล้องกัน อีกทั้งต้องตรงกับกลุ่มเป้าหมาย ตลอดจนเป็นแบรนด์ที่มีภาพจำ กระทั่งจุดเด่นในระยะยาว จึงส่งผลต่อภาพลักษณ์ของแบรนด์ และการทำแบรนด์ในระยะยาว” วรสิทธิ์กล่าว
ซีโอโอ เนเบอร์สฯ ที่ผ่านการเรียนรู้งานตั้งแต่ฝ่ายบริการลูกค้า งานฝึกอบรม และการบริหารการตลาดให้กับหลายแบรนด์ ถูกหล่อหลอมให้มองเป้าหมายของลูกค้าเป็นตัวตั้ง ส่วนจะเลือกใช้กลยุทธ์ใดที่จะทำให้ถึงเป้าหมาย ต้องเลือกใช้อย่างมีประสิทธิภาพ และไม่จำเป็นต้องใช้ทุกเครื่องเหมือนที่ผ่านมา ด้วยกลยุทธ์ดังกล่าวจึงเข้ามาตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าในช่วงของการล็อกดาวน์ปิดเมือง
“การที่แบรนด์จะไม่หลงทางว่าเป้าหมายหรือกลยุทธ์คืออะไร แบรนด์จึงต้องกระตุ้นพื้นฐาน และใช้เครื่องมือต่างๆ ที่เป็นหลักการตลาด เพื่อให้รากฐานของแบรนด์มีความแข็งแรง ให้มีความพร้อมร้องรับกับการเปลี่ยนแปลงของวิธีการตลาดใหม่ๆ อย่างมั่นคง และทันสมัย การบาลานซ์ระหว่างการปรับสิ่งใหม่มาใช้บนหลักการและกลยุทธ์ เป็นสิ่งที่จะทำให้แบรนด์มีความหมาย มีคุณค่าบนโลกที่ทุกอย่างล้วนแข่งขันกัน เพื่อให้ตัวเองโดดเด่นมากที่สุด”
เชื่อมโยง Data กับการวางกลยุทธ์
วรสิทธิ์ กล่าวด้วยว่า การทำตลาดในยุคที่เทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามามีบทบาทมากขึ้น นักการตลาดได้ปรับตัวเข้าสู่ยุค “Digital Marketing” ขณะเดียวกันการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้บริโภคหลังวิกฤตโรคระบาดที่เกิดขึ้น ทำให้ต้องเผชิญกับความท้าทายใหม่ที่เข้ามาเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมทางธุรกิจอีกครั้ง ทั้งช่องทางการในเข้าถึงลูกค้า ปัจจุบันมีช่องทางในการเข้าถึงลูกค้าที่หลากหลายมากขึ้น แต่กลับเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้ยากกว่าแต่ก่อน ซึ่งเกิดจากการที่แพลตฟอร์มต่าง ๆ มีการเปลี่ยนแลงอัลกอริทึม รวมถึงการเกิดแพลตฟอร์มใหม่ ส่งผลให้ปัจุบัน วิธีการกำหนดเป้าหมาย กลุ่มเป้าหมาย รวมไปถึงการวัดผลจากตัวเลขต่างๆ ต้องแตกต่างไปจากเดิม และเจาะกลุ่มเป้าหมายที่แม่นยำมากขึ้น (Precision Marketing)
“ท่ามกลางความไม่แน่นอน นักการตลาดต้องจับมือทำงานร่วมกันกับลูกค้ามากขึ้น เพื่อเข้าถึง Data ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญมากในยุคนี้ ในขณะที่ฝั่งแบรนด์ มีทั้งความเชี่ยวชาญในสินค้าของตัวเอง และมี “Data” ของลูกค้า ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญ ที่ต้องทำงานร่วมกันกับฝั่งเอเจนซี ที่มีประสบการณ์จากหลากหลายธุรกิจ ด้วยเครื่องมือที่หลากหลายกว่า เมื่อนำความเชี่ยวชาญในธุรกิจของฝั่งแบรนด์มาช่วยในการวางกลยุทธ์จะมีโอกาสประสบความสำเร็จที่มากกว่า”
ปัจจุบัน เนเบอร์สฯ มีลูกค้ากว่า 100 ราย ในหลากหลายธุรกิจ ด้วยแนวทางการทำธุรกิจที่ยึดมั่นในเป้าหมายของลูกค้าเป็นหัวใจสำคัญ พร้อมเสนอทางเลือกกลยุทธ์อย่างจริงใจเพื่อช่วยให้กับลูกค้าประสบความสำเร็จ ด้วยแนวทางดังกล่าวทำให้ธุรกิจของเนเบอร์สฯเติบโตอย่างรวดเร็วในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา และปี 2566 นี้ คาดว่าจะเติบโต 2 เท่าจากปีก่อน และพร้อมขยายธุรกิจด้วยการหาพันธมิตรเพิ่มเติม
“สิ่งสำคัญทั้งฝั่งแบรนด์และเอเจนซี ต่างมีจุดแข็งที่แตกต่างกันออกไป และไม่มีใครเก่งกว่าใครทั้งนั้น แต่ต้องทำงานร่วมกันเพื่อบรรลุเป้าหมายด้านยอดขาย ซึ่งจะนำมาสู่ความสำเร็จอย่างแท้จริง” วรสิทธิ์กล่าวทิ้งท้าย
อ่านเพิ่มเติม : กรอบเงินบาทระยะสั้นขึ้นอยู่กับการเมือง หากจัดตั้งรัฐบาลได้เร็ว เงินบาทอาจแข็งค่าสู่กรอบ 33.35-33.85
ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine