จากการแพร่ระบาดของโควิดทำให้วิถีการดำเนินธุรกิจทั่วโลกเปลี่ยนแปลงไปให้ปรับตัวเข้าสู่ตลาดออนไลน์เร็วขึ้นอย่างก้าวกระโดดจนกลายเป็นตลาดที่มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนการค้าระหว่างประเทศ ยุคนี้จึงเป็นยุคที่ตลาดอีคอมเมิร์ซแข็งแกร่งมากที่สุด สามารถเชื่อมโยงผู้ซื้อกับผู้ขายจากที่ต่างๆ จากทั่วโลกได้มากขึ้น
ประเทศไทยก็เป็นประเทศที่ขึ้นชื่อเรื่องมรดกทางวัฒนธรรมอันยาวนานและงานฝีมืออันประณีต จึงมีความพร้อมที่จะเติบโตไปตามการขยายตัวของตลาดออนไลน์ทั่วโลกกับอีเบย์ ผู้นําอีคอมเมิร์ซระดับโลก ที่จะสร้างโอกาสให้กับผู้ขายชาวไทยได้นำเสนอสินค้าสู่มาร์เก็ตเพลสที่มีเครือข่ายผู้ซื้อมหาศาลมากกว่า 132 ล้านคนในกว่า 190 ประเทศทั่วโลก
วิทเมย์ ไนยนี ผู้จัดการทั่วไปประจำภูมิภาคตลาดเกิดใหม่ของอีเบย์ กล่าวว่า “ในไตรมาสที่ 2 ของปี 2566 อีเบย์มียอดขายสุทธิ (GMV) 1,820 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และมีสินค้าพร้อมขายมากกว่า 1,900 ล้านรายการพร้อมผู้ซื้อมากกว่า 132 ล้านคนใน 190 ตลาดทั่วโลก เจตนารมณ์ของเราคือ การส่งมอบพลังและขีดความสามารถ พร้อมสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจแก่ทุกคนด้วยเทคโนโลยีที่สามารถรองรับผู้ใช้จากทั่วโลก ด้วยการให้บริการแพลตฟอร์มร้านค้าออนไลน์ที่พิเศษไม่เหมือนใคร จะทำให้สินค้าของคุณเปิดตัวสู่ตลาดและเชื่อมโยงกับลูกค้าทั่วโลกมากกว่า 190 ตลาด”
“ภูมิภาคแห่งนี้ ดึงดูดคนนับล้านให้เข้ามาเป็นผู้ใช้บริการอีเบย์ที่รวมทั้งผู้ซื้อและผู้ขายซึ่งสุดท้ายแล้วก็ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลกผ่านการซื้อขายและส่งออกสินค้าระหว่างประเทศ ซึ่งประเทศไทยก็เป็นอีกหนึ่งในตลาดส่งออกที่ใหญ่ที่สุดในโลก”
5 ตลาดขายดีสําหรับผู้ขายไทย: โลกแห่งความเป็นไปได้
ตลาดยอดฮิต 5 อันดับแรกในไตรมาส 2 ปี 2566 สำหรับสินค้าจากประเทศไทย ได้แก่ ออสเตรเลีย แคนาดา ฝรั่งเศส สหรัฐอเมริกา และสหราชอาณาจักร นับเป็นโอกาสทองที่ผู้ขายไทยจะเข้าถึงลูกค้าให้มากขึ้นและพัฒนาธุรกิจให้เติบโตได้ในประเทศเหล่านี้
นิษณะ ทวีพาณิชย์ ผู้อำนวยการสำนักตลาดพาณิชย์ดิจิทัล กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (DITP) ย้ำถึงความสําคัญของอีคอมเมิร์ซในช่วงโควิดและบทบาทของ DITP ในการส่งเสริมการส่งออกว่า “การแพร่ระบาดของโควิดทำให้ตลาดออนไลน์แข็งแกร่งมากขึ้น และในฐานะกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ เราตระหนักถึงบทบาทสําคัญของอีเบย์ในการช่วยให้ผู้ขายและส่งออกสินค้าไทยเติบโต แพลตฟอร์มของอีเบย์เป็นประตูสู่ตลาดขนาดใหญ่ที่มีโอกาสมากมายสําหรับผลิตภัณฑ์ไทย ด้วยฐานลูกค้ามากกว่า 132 ล้านราย รวมถึงออสเตรเลียและหลายประเทศในยุโรป"
โดยอธิบายประโยชน์ที่ได้จากการเข้าถึงตลาดและฐานลูกค้าที่กว้างขวางบนแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซขนาดใหญ่เช่นนี้ว่า จะช่วยให้ผู้ขายไทยนำผลิตภัณฑ์ของตนไปโชว์ให้ผู้คนจากหลายประเทศทั่วโลกได้เห็น และขยายธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพในตลาดสากลที่มีการแข่งขันสูง
การส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับ สู่การเติบโตที่เปล่งประกายของผู้ค้าไทย
สิทธิชัย ปริญญานุสรณ์ รองผู้อํานวยการสถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ (องค์การมหาชน) (GIT) เผยศักยภาพที่ผู้ขายไทยมีในตลาดโลก "การแพร่ระบาดของโควิดได้พลิกโฉมพลวัตตลาดการค้าโลกไปอย่างไม่ต้องสงสัย อีคอมเมิร์ซกลายเป็นช่องทางที่ทรงพลังในการสร้างธุรกิจให้เติบโต ซึ่งตั้งแต่เดือนมกราคมถึงพฤษภาคม 2566 การส่งออกเครื่องประดับ ไม่รวมทองคํา มีการเติบโตต่อเนื่องในอัตรา 5% โดยมีตลาดผู้ซื้อเด่นๆ เช่น สหรัฐฯ และฮ่องกง"
เขาคาดการณ์ว่า "เมื่อการท่องเที่ยวฟื้นตัวและนักท่องเที่ยวต่างชาติกลับมาเที่ยวเมืองไทย จึงคาดว่าอุตสาหกรรมเครื่องประดับไทยจะยิ่งมีโอกาสมากขึ้น อีกทั้งมรดกทางวัฒนธรรมอันเป็นเอกลักษณ์และความประณีตของเครื่องประดับไทย ยิ่งดึงดูดใจนักท่องเที่ยว" ซึ่งเพิ่มโอกาสการส่งออกในตลาดโลก
กลุ่มเครื่องประดับจากไทยที่กำลังมาแรง
1. เครื่องประดับอัญมณีแท้: ตั้งแต่แหวนที่รังสรรค์ด้วยความประณีต ไปจนถึงสร้อยคอและกําไลเครื่องประดับอัญมณีแท้จากประเทศไทยได้เผยให้เห็นศิลปะและทักษะชั้นเยี่ยมของช่างฝีมือ
2. หินสี: เสน่ห์ของหินสีที่สดใสและเป็นเอกลักษณ์ เป็นที่ดึงดูดใจสำหรับผู้ที่ชื่นชอบเครื่องประดับทั่วโลก เครื่องประดับในกลุ่มนี้จึงเป็นที่ต้องการอย่างมาก
3. เครื่องประดับในคอนเซปต์ True Nature: มาพร้อมดีเทลตัวเรือนทองที่ซับซ้อน จึงได้รับความนิยมอย่างมากในหมู่คนรักเครื่องประดับแฟชั่น
4. พลอยเนื้ออ่อน: ด้วยราคาที่เอื้อมถึงและสีสันน่าดึงดูดใจ ส่งผลให้พลอยเนื้ออ่อน (semi-precious stones) จะยังเป็นที่ชื่นชอบของคนรักเครื่องประดับทั่วโลกอย่างต่อเนื่อง
5. ตัวเลือกเครื่องประดับรักษ์โลก: เครื่องประดับมีตัวเลือกที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น เช่น การมีชิ้นส่วนที่ทําจากโลหะรีไซเคิล หรืออัญมณีจากแหล่งผลิตที่มีจริยธรรม การชูตัวเลือกที่ยั่งยืนเหล่านี้ สามารถรองรับลูกค้าที่ให้ความสําคัญกับจิตสํานึกด้านสิ่งแวดล้อมได้มากขึ้น
สิทธิชัยยังเผยเคล็ดลับที่ผู้ค้าขายอัญมณีในไทยอาจนำไปปรับประยุกต์เพื่อสร้างยอดขายของตนได้ ดังนี้
1. เครื่องประดับตัวเรือนเงินขายออกเร็วกว่า: สามารถเน้นสินค้าที่ประกอบด้วยเงินบริสุทธิ์ 92.5% และโลหะอื่นอีก 7.5% เพื่อเพิ่มความทนทาน จึงมีความเงางาม หรู และราคาที่เอื้อมถึง เครื่องประดับเงิน 925 จึงครองใจคนรักเครื่องประดับทั่วโลก
2. มีตัวเลือกทองคำที่หลากหลาย: การมีตัวเลือกเครื่องประดับทองคําที่หลากหลาย ทั้งสีสันและกะรัต เช่น 9K, 14K หรือ 18K เพื่อรองรับความชอบและสไตล์ที่ต่างกัน การมีตัวเลือกที่หลากหลายจะช่วยให้ผู้ซื้อค้นหาเครื่องประดับที่ลงตัวกับรสนิยมอันเป็นเอกลักษณ์ได้
3. ความหลากหลายของตัวเลือก: การมีตัวเลือกเยอะ ทั้งเรื่องขนาด วัสดุ และราคา จะช่วยให้ผู้ซื้อตัดสินใจได้ง่ายขึ้น
4. ใบรับรองสร้างความเชื่อมั่น: การมีใบรับรองจากสถาบันที่มีชื่อเสียง ให้ความมั่นใจแก่ผู้ซื้อได้ในเรื่องของแท้ คุณภาพ คุณภาพ และมาตรฐานทางจริยธรรมของเครื่องประดับ
5. ความคิดเห็นและเสียงตอบรับจากลูกค้า: ความคิดเห็นและรีวิวเชิงบวกจากลูกค้าที่พึงพอใจ จะช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือของผู้ขายและกระตุ้นการซื้อของผู้ซื้อที่มีศักยภาพ ซึ่งผู้ขายไทยอาจเชิญชวนให้ลูกค้าแบ่งปันประสบการณ์ที่มีต่อตัวเลือกเครื่องประดับทองคําที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ลงในกลุ่มเครื่องประดับ ซึ่งสอดคล้องกับหลักการ BCG
โดยสรุปการแพร่ระบาดของโควิดได้ส่งผลให้ตลาดออนไลน์ทั่วโลกมีแนวโน้มแข็งแกร่งขึ้น ซึ่งถือเป็นโอกาสที่ดีมากสําหรับผู้ขายไทยในอุตสาหกรรมต่างๆ โดยเฉพาะการส่งออกเครื่องประดับ ยิ่งมีการจัดจำหน่ายผ่านแพลตฟอร์มที่ส่งให้สามารถเข้าถึงลูกค้ารวมถึงผู้ซื้อจำนวนมาก ผู้ขายไทยจะยิ่งมีโอกาสนำฝีมือเชิงช่างอันประณีตเปิดสู่ตลาดโลก และขยายธุรกิจไปทั่วโลกได้
อ่านเพิ่มเติม : Binance Academy ชี้ 62% ของตลาดเกิดใหม่ สนใจศึกษาคริปโตเพิ่มขึ้น
ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine
