บ้านปู เพาเวอร์ เข้าลงทุนใน "Temple II" โรงไฟฟ้าก๊าซเทคโนโลยี CCGT คาดรับรู้รายในไตรมาส 3/66 - Forbes Thailand

บ้านปู เพาเวอร์ เข้าลงทุนใน "Temple II" โรงไฟฟ้าก๊าซเทคโนโลยี CCGT คาดรับรู้รายในไตรมาส 3/66

FORBES THAILAND / ADMIN
11 Jul 2023 | 03:00 PM
READ 1267

    บริษัท บ้านปู เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BPP ผู้ผลิตพลังงานไฟฟ้าคุณภาพระดับสากลที่ยึดมั่นในการส่งมอบพลังงานที่ยั่งยืน ได้เข้าซื้อบริษัท CXA Temple 2, Holdco, LLC ซึ่งเป็นเจ้าของโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ Temple II ขนาด 755 เมกะวัตต์ ที่ตั้งอยู่ในรัฐเท็กซัส สหรัฐอเมริกา การเข้าซื้อกิจการของโรงไฟฟ้าที่เปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์แล้วครั้งนี้ ส่งผลให้ BPP มีโอกาสเติบโตอย่างโดดเด่นในสหรัฐฯ เนื่องจากได้รับประโยชน์จากการผสานพลังร่วมกับโรงไฟฟ้า Temple I ซึ่งมีอยู่เดิม รวมไปถึงความสามารถในการสร้างกระแสเงินสดได้ทันที

    ข้อตกลงนี้ทำผ่านบริษัท Temple Generation Intermediate Holdings II, LLC1 ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ BPP ส่งผลให้ BPP สามารถเพิ่มกำลังผลิตตามสัดส่วนการลงทุนได้ราว 378 เมกะวัตต์

    กิรณ ลิมปพยอม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บ้านปู เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “การลงทุนในครั้งนี้สอดคล้องกับกลยุทธ์ Greener & Smarter ของ BPP และนับเป็นก้าวสำคัญในการขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่องในประเทศยุทธศาสตร์ การเข้าซื้อกิจการดังกล่าวยังเป็นการต่อยอดระบบนิเวศทางธุรกิจของ BPP ซึ่งปัจจุบันกำลังขยายไปยังหน่วยธุรกิจอื่น ๆ ตลอดห่วงโซ่คุณค่าทั้งหมดในตลาดสหรัฐฯ ซึ่งรวมถึงโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ Temple I ตลาดซื้อขายไฟฟ้าเสรี ERCOT (Electric Reliability Council of Texas) ซึ่งเป็น 1 ใน 7 ผู้นำของตลาดซื้อขายไฟฟ้าที่มีอัตราการใช้ไฟฟ้าสูงสุดในสหรัฐฯ นอกจากนี้ยังรวมไปถึงการขายไฟฟ้าให้กับลูกค้าครัวเรือน (Power Retail) อีกด้วย

    ทั้งนี้ เมื่อพิจารณาถึงโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ Temple I ที่มีอยู่เดิม รวมถึงทำเลที่ตั้งที่ใกล้เคียงกันของโรงไฟฟ้า Temple I และ Temple II ทำให้เราสามารถผสานพลังและสร้างคุณค่าร่วมกัน ช่วยให้การดำเนินการและบริหารจัดการโรงไฟฟ้ามีประสิทธิภาพมากขึ้น ส่งผลให้การผลิตไฟฟ้ามีความยืดหยุ่นและมีเสถียรภาพมากยิ่งขึ้น สามารถคว้าโอกาสในการทำกำไรได้มากขึ้นในตลาดไฟฟ้าเสรี รวมไปถึงการบริหารจัดการทรัพยากรร่วมกันเพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุด นำไปสู่การดำเนินธุรกิจที่สามารถบริหารต้นทุนต่อหน่วยได้ต่ำลงและสร้างผลตอบแทนได้สูงขึ้นในที่สุด (Economies of Scale)”

    สำหรับจุดเด่นของโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ Temple II แบ่งได้เป็น 4 ข้อหลัก คือ 

        1) เป็นโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ที่ใช้เทคโนโลยี Combined Cycle Gas Turbines (CCGT) ที่ทันสมัยและมีประสิทธิภาพสูง มีความยืดหยุ่นสูง และอยู่ในลำดับการเรียกจ่ายไฟฟ้า (merit order) ที่ดี ซึ่งสอดรับกับสภาพตลาดและการแข่งขันในตลาดซื้อขายไฟฟ้าเสรีของ ERCOT อีกทั้งมีการใช้เทคโนโลยีขั้นสูงในการควบคุมการปล่อยมลสาร ด้วยเหตุนี้ Temple II จึงถือเป็นหนึ่งในผู้นำโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมในสหรัฐอเมริกา 

        2) มีกำลังผลิตไฟฟ้าที่สามารถรองรับการใช้ไฟฟ้าได้ประมาณ 750,000 ครัวเรือนทั่วรัฐเท็กซัสตอนกลาง จึงมีบทบาทสำคัญในการจ่ายไฟฟ้าเพื่อตอบสนองความต้องการของภูมิภาคดังกล่าว 

        3) ตั้งอยู่ในตำแหน่งยุทธศาสตร์ที่เอื้อให้สามารถจำหน่ายไฟฟ้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยตอบสนองความต้องการของตลาดซื้อขายไฟฟ้าเสรีที่มีการเปลี่ยนแปลงแบบเรียลไทม์ และยังอยู่ในทำเลเดียวกันกับโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ Temple I จึงส่งเสริมประสิทธิภาพในการผลิต การใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า ตลอดจนทำให้ BPP มีโอกาสสร้างกำไรในตลาดซื้อขายไฟฟ้าเสรีได้ 

        4) การมีกำลังผลิตเพิ่มขึ้นนี้ช่วยเสริมข้อได้เปรียบของ BPP ในการบริหารจุดคุ้มทุนและการกระจายความเสี่ยงที่ครอบคลุมตลอดห่วงโซ่คุณค่าธุรกิจไฟฟ้าของบริษัทฯ

    กิรณกล่าวสรุปอีกว่า การลงทุนครั้งนี้ คาดว่าจะรับรู้รายได้ภายในไตรมาส 3/2566 ทั้งนี้ BPP ยังคงมุ่งมั่นแสวงหาโอกาสการลงทุนในโรงไฟฟ้าที่ใช้เทคโนโลยี HELE ซึ่งเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมในประเทศยุทธศาสตร์ทั้ง 8 แห่งอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างการเติบโตอย่างสมดุลของพอร์ตธุรกิจทั้งจากพลังงานความร้อน (Thermal Power Business) และจากพลังงานหมุนเวียน (Renewable Power Business) และเดินหน้าขยายกำลังผลิตสู่เป้าหมาย 5,300 เมกะวัตต์ภายในปี 2568


    อ่านเพิ่มเติม : ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินเศรษฐกิจครึ่งปีหลังขยายตัวดีกว่าครึ่งปีแรก แต่ยังต้องเจอโจทย์ท้าทายทั้งการส่งออก-ภัยแล้ง-หนี้สูง

    ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine