จับกระแสโรงเรียนนานาชาติ กับแนวโน้มการแข่งขันที่เข้มข้น - Forbes Thailand

จับกระแสโรงเรียนนานาชาติ กับแนวโน้มการแข่งขันที่เข้มข้น

FORBES THAILAND / ADMIN
22 Aug 2023 | 10:00 AM
READ 5101

ธุรกิจโรงเรียนนานาชาติขยายตัวจากทั้งอุปสงค์การเข้าเรียน และจำนวนโรงเรียน โดยอุปสงค์เติบโตจากการเพิ่มขึ้นของจำนวนคนไทยที่มีความมั่งคั่งสูง และมีความพร้อมในการส่งบุตรหลานเข้าเรียนในโรงเรียนนานาชาติมากขึ้น ประกอบกับการที่มีชาวต่างชาติที่เข้ามาทำธุรกิจ และทำงานระยะยาวในไทย รวมถึงนักเรียนจากประเทศกลุ่ม CLMV ที่เข้ามาเรียนในไทย ซึ่งอุปสงค์ที่เติบโตต่อเนื่องเป็นปัจจัยหนุนให้ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา จำนวนโรงเรียนนานาชาติมีการขยายตัวเพิ่มขึ้นเฉลี่ยราว 5% ต่อปี โดยเฉพาะโรงเรียนขนาดเล็กถึงกลาง ที่เป็นทางเลือกสำหรับผู้ปกครอง


    SCB EIC มองว่า ในระยะข้างหน้า การแข่งขันของโรงเรียนนานาชาติมีแนวโน้มรุนแรงขึ้น จากการแข่งขันของโรงเรียนนานาชาติเปิดใหม่ในพื้นที่กรุงเทพฯ ชั้นนอก ฝั่งทิศตะวันตกเฉียงเหนือ และฝั่งทิศตะวันออก รวมถึงปริมณฑล ตามการขยายธุรกิจที่สอดคล้องไปตามการขยายตัวของตลาดที่อยู่อาศัยระดับบนในพื้นที่ดังกล่าว ประกอบกับเป็นการพัฒนาโรงเรียนขนาดใหญ่เพื่อสามารถรองรับจำนวนนักเรียนได้มากขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้การแข่งขันในตลาดมีแนวโน้มรุนแรงขึ้น โดยเฉพาะโรงเรียนนานาชาติขนาดเล็ก ซึ่งมีข้อจำกัดด้านการลงทุนในการเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน ที่ยังต้องแข่งขันกับกลุ่มทุนรายใหญ่ ที่มีประสบการณ์ในการดำเนินธุรกิจด้านการศึกษา และมีการลงทุนด้านสิ่งอำนวยความสะดวกที่หลากหลาย

    โรงเรียนนานาชาติยังเผชิญความท้าทาย ทั้งจำนวนนักเรียนที่อาจขยายตัวได้ช้า จากอัตราการเกิดที่ลดลง และต้นทุนในการประกอบธุรกิจที่สูงขึ้น แม้ในระยะข้างหน้าจะมีจำนวนผู้ปกครองชาวไทยที่มีความสามารถส่งบุตรหลานเข้าเรียนในโรงเรียนนานาชาติได้มากขึ้น รวมถึงคาดว่าจะมีนักเรียนชาวต่างชาติเข้ามาเรียนโรงเรียนนานาชาติในไทยเพิ่มขึ้นตามผู้ปกครองที่เข้ามาประกอบธุรกิจ และทำงานในตำแหน่งระดับสูง แต่การขยายตัวของจำนวนนักเรียนมีแนวโน้มถูกกดดันจากอัตราการเกิดที่ลดลง 

    นอกจากนี้ โรงเรียนนานาชาติยังเผชิญความท้าทายด้านต้นทุนในการประกอบธุรกิจ โดยเฉพาะการแข่งขันดึงดูดบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถเพื่อรักษามาตรฐานการเรียนการสอน อีกทั้ง ต้นทุนบุคลากรยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง จากการปรับอัตราค่าจ้างเพิ่มขึ้นทุกปี ซึ่งหากจำนวนนักเรียนขยายตัวได้ช้ากว่าการขยายธุรกิจของโรงเรียนนานาชาติในระยะข้างหน้าแล้ว จะส่งผลกระทบต่อสภาพคล่อง และอัตรากำไร

    โรงเรียนนานาชาติสามารถสร้างความแตกต่าง เพื่อดึงดูดให้ผู้ปกครองพิจารณาเลือกโรงเรียนให้บุตรหลาน อาทิ การสร้างเครือข่ายความร่วมมือกับมหาวิทยาลัยชั้นนำ ทั้งในไทยและต่างประเทศ การสร้างมาตรฐานการศึกษาในระดับนานาชาติ ทั้งนี้หากมองถึงโอกาสในระยะข้างหน้า ที่ความต้องการแรงงานในตลาดมีแนวโน้มเปลี่ยนแปลงไป ซึ่งนักเรียนอาจไม่ได้มีเป้าหมายในการเรียนต่อในมหาวิทยาลัยเพียงอย่างเดียว แต่หากยังมองหาการเรียนรู้ที่สามารถนำไปใช้ประกอบอาชีพได้โดยตรง ทำให้โรงเรียนจำเป็นต้องมีความยืดหยุ่นในการพัฒนาหลักสูตรเชิงวิชาชีพ ให้สอดคล้องกับความต้องการแรงงานในอนาคต ซึ่งจะช่วยให้เกิดข้อได้เปรียบด้านความหลากหลายของหลักสูตรการเรียนการสอน และตอบโจทย์ตลาดแรงงานในอนาคตได้

    ขณะที่ภาครัฐอาจอำนวยความสะดวกในการดึงดูดบุคลากรด้านการศึกษาชาวต่างชาติให้เข้ามาทำงานในไทย เพื่อบรรเทาข้อจำกัดของธุรกิจโรงเรียนนานาชาติในการสรรหาบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถ เช่น การให้สิทธิพิเศษทางด้านภาษี การอำนวยความสะดวกในการดำเนินการด้านวีซ่าที่รวดเร็ว การปรับลดข้อกำหนดสำหรับการถือวีซ่าประเภทผู้พำนักระยะยาว อีกทั้ง การส่งเสริมการลงทุนเพื่อดึงดูดนักลงทุนต่างชาติให้เข้ามาประกอบกิจการในไทยมากขึ้น จะเป็นโอกาสให้เกิดการโยกย้ายที่อยู่อาศัยของครอบครัวชาวต่างชาติให้เข้ามายังไทย และเป็นโอกาสสำหรับโรงเรียนนานาชาติที่จะรองรับนักเรียนต่างชาติที่ย้ายเข้ามาอยู่อาศัยในไทยพร้อมกับครอบครัวได้ต่อไป

    

    บทความโดย : วรรณโกมล สุภาชาติ นักวิเคราะห์ ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ SCB EIC


    อ่านเพิ่มเติม : “เอกา โกลบอล” มุ่งหน้าลุยเมกะเทรนด์ “Pet Parents” และ “ธุรกิจเพื่อความยั่งยืน”

    ​ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine