อาร์เอ็กซ์ เทรดเด็กซ์ เตรียมจัดงาน COSMEX 2023 ให้ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมความงามได้พบกับเหล่าซัพพลายเออร์ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ ระหว่างวันที่ 7-9 พ.ย.นี้ ณ ไบเทค บางนา พร้อมคาดการณ์ผู้สนใจเข้าร่วมชมงานไม่ต่ำกว่า 25,000 ราย หลังธุรกิจความงามในเอเชียแปซิฟิกเติบโตเป็นสัดส่วน 67% ของตลาดโลก และตลาดในประเทศไทยยังโตได้ต่อเนื่อง
วราภรณ์ ธรรมจรีย์ กรรมการผู้จัดการ อาร์เอ็กซ์ เทรดเด็กซ์ (RX Tradex เดิมชื่อ รี้ด เทรดเด็กซ์) ผู้นำด้านการจัดงานแสดงสินค้าแห่งอาเซียน เปิดเผยว่า งานแสดงเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมความงาม COSMEX 2023 ที่จะจัดขึ้นระหว่าง 7-9 พฤศจิกายนนี้ ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา ซึ่งจัดขึ้นภายใต้แนวคิด “For The Look of Success” หรือ “เผยโฉมความสำเร็จธุรกิจคุณ” คาดว่าจะมีผู้สนใจเข้าร่วมงานไม่ต่ำกว่า 25,000 ราย
ทั้งนี้ อุตสาหกรรมความงาม เป็นอุตสาหกรรมหนึ่งที่มีอัตราการเติบโตในแต่ละปีค่อนข้างสูง เห็นได้จากงานวิจัยของ Euromonitor ระบุว่า เมื่อเทียบกับตลาดโลกแล้ว ตลาดเครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์ดูแลร่างกายในเอเชียแปซิฟิก เป็นตลาดที่มีขนาดใหญ่มากมีอัตราการเติบโตเป็นสัดส่วนสูงถึง 67% ของตลาดโลกหรือมูลค่ากว่า 13 ล้านล้านบาทภายในปี 2027
ขณะเดียวกันตลาดในประเทศไทยก็ยังคงมีโอกาสเติบโตได้อย่างต่อเนื่องด้วยเช่นกัน โดยสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้าได้เปิดเผยข้อมูลตลาดในปีที่ผ่านมาว่า ตลาดในประเทศจะมีการขยายตัวจากปีก่อนหน้า 12.1% คิดเป็นมูลค่า 25,953.6 ล้านบาท และคาดว่าปีนี้จะขยายตัวที่ 10.4% หรือคิดเป็นมูลค่า 28,651.2 ล้านบาท
สำหรับตัวเลขด้านการส่งออก กระทรวงพาณิชย์แจ้งในรายงานว่า ปีที่ผ่านมา สินค้าในหมวดเครื่องสำอาง สบู่ และผลิตภัณฑ์รักษาผิว มีมูลค่าการส่งออก 112,859.69 ล้านบาท ขยายตัวเพิ่มขึ้นจากปีก่อน 17.4% โดยสินค้าที่ส่งออกมากสุด 6 อันดับแรก คือ ผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผม เครื่องสำอางและสกินแคร์ สบู่ ผลิตภัณฑ์เพื่ออนามัยในช่องปากและฟัน ผลิตภัณฑ์โกนหนวด อาบน้ำ และดับกลิ่นตัว และหัวน้ำหอมและน้ำหอม
โดย 5 ประเทศหลักที่ส่งออกคือ ญี่ปุ่น ฟิลิปปินส์ เวียดนาม ออสเตรเลีย และจีน สำหรับ 8 เดือนแรกของปีนี้ มูลค่าการส่งออกอยู่ที่ 76,090.65 ล้านบาท ขยายตัวเพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน 2.32% โดยสินค้าที่ได้รับความนิยมส่งออกในปีนี้ คือ เครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์บำรุงผิว ผลิตภัณฑ์บำรุงเส้นผม ผลิตภัณฑ์ดูแลช่องปากและฟัน สบู่ ผลิตภัณฑ์โกนหนวด อาบน้ำ และดับกลิ่นตัว และหัวน้ำหอมและน้ำหอม
อย่างไรก็ตาม เรื่องของเทรนด์ความงามที่กำลังแพร่หลายไปทั่วโลก และยังจะได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่องไปจนถึงปี 2024 มีด้วยกัน 4 เทรนด์ ได้แก่
1. เทรนด์ Conscious Beauty หรือความงามอย่างมีสติ งามจากภายในด้านจิตสำนึก ที่ปัจจุบันได้กลายเป็นค่านิยมของคนรุ่นใหม่ในการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ผลิตจากธรรมชาติ 100% ไม่ทดลองในสัตว์ ผู้ผลิตมีความเป็นธรรมต่อชุมชนและสังคม
2. เทรนด์ NeuroGlow งามจากภายในด้านจิตใจ คือการดูแลตนเองแบบองค์รวม ทั้งการรับประทานผลิตภัณฑ์อาหารเสริมที่ช่วยให้ร่างกายแข็งแรง มีผลต่อสุขภาพผิวที่ดี บริษัทวิจัยตลาดชื่อดังอย่าง Mintel ระบุว่า 70% ของผู้บริโภคในสหรัฐอเมริกา ยินดีจ่ายในราคาแพงกว่าให้กับสินค้าที่ทำให้ผิวสวยและช่วยให้อารมณ์ดีขึ้น ทำให้ผลิตภัณฑ์บางแบรนด์มีผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่มีสารระเหยที่เมื่อสูดดมเข้าไปแล้วช่วยเสริมการทำงานของสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยเสริมการฟื้นฟูของผิวในช่วงเวลากลางคืนเป็นต้น
3. เทรนด์ Beauty-AI เช่น การนำดาต้าอย่าง Feedback ใน Social media ไลฟ์สไตล์ สภาพแวดล้อมของที่พักอาศัย หรือข้อมูลด้านพันธุกรรม มาใช้ในการวิเคราะห์เพื่อมองหาช่องว่างและพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ตรงกับความต้องการของแต่ละบุคคล เกิดเป็นผู้ช่วยด้านความงามแบบ virtual ที่สามารถให้คำปรึกษาและแนะนำการดูแลตนเองที่เฉพาะเจาะจงกับความต้องการ
4. เทรนด์ Sophisticated Simplicity หรือความเรียบง่ายที่ซับซ้อน คือผู้บริโภคที่ให้ความสำคัญกับส่วนผสมในผลิตภัณฑ์มากกว่าหน้าตาบรรจุภัณฑ์ภายนอก และใช้เป็นข้อมูลในการตัดสินใจว่าจะซื้อผลิตภัณฑ์ตัวนั้นหรือไม่ รวมถึงยินดีที่จะจ่ายเพิ่มเพื่อให้ได้สินค้าที่มีประสิทธิภาพ
“ในฐานะที่อาร์เอ็กซ์ เทรดเด็กซ์ ได้จัดงาน COSMEX อย่างต่อเนื่องมาเป็นปีที่ 8 แล้ว จึงอยากให้ผู้ประกอบการไทยทุกขนาด โดยเฉพาะกลุ่ม SME ซึ่งมีสัดส่วนขนาดใหญ่สุดในบรรดาผู้เล่นทั้งหมดของวงการความงาม ได้มีโอกาสปรับตัวรับการเปลี่ยนแปลง ด้วยการมาเปิดโลก มาเห็นเทรนด์ มาเรียนรู้นวัตกรรมใหม่ ๆ ที่มีอย่างมากมาย และที่สำคัญได้มาเห็นว่า ความสำเร็จที่ผู้ประกอบการได้วาดฝันไว้นั้น มีหน้าตาเป็นอย่างไร ซึ่งผู้ประกอบการที่เข้าร่วมชมงาน จะมีโอกาสได้อัปเดตเทรนด์ของอุตสาหกรรมความงาม หรือมองหาพาร์ทเนอร์ทางการค้าใหม่ ๆ เพื่อนำไปปรับใช้กับผลิตภัณฑ์ของตนเอง” วราภรณ์กล่าวทิ้งท้าย
อ่านเพิ่มเติม : ตลาดศิลปะร่วมสมัยเติบโต 2200% เป็นสถานที่ปลอดภัยในยามวิกฤต
ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine