เป็นครั้งแรกที่ “Adrian Bosshard” CEO ของนาฬิกาหรู RADO เปิดเผยวิสัยทัศน์ผ่านสื่อไทยด้วยการสัมภาษณ์พิเศษกับ Forbes Thailand หลังเข้ามาทำตลาดในประเทศไทยตั้งแต่ ค.ศ.1950 โดยย้ำว่าตลาดในไทยยังมีศักยภาพเติบโตและแนวโน้มเป็นบวก แม้ต้องเผชิญปัจจัยทางภูมิรัฐศาสตร์และนักท่องเที่ยวจีนที่ลดลง แต่ฐานแฟนคลับชาวไทยยังเหนียวแน่น พร้อมส่งโปรดักต์เรือธง และขยายสาขาบูทีคครองใจลูกค้า
RADO แบรนด์นาฬิกาสัญชาติสวิตเซอร์แลนด์ที่มีประวัติยาวนานกว่าร้อยปี ตั้งแต่ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 ใน ค.ศ.1917 โดย Fritz, Ernst และ Werner สามพี่น้องตระกูล Schlup ได้สร้างโรงงานเล็กๆ ในบ้าน ณ เมืองเลงเนา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งเริ่มต้นจากการผลิตกลไกนาฬิกา ภายใต้ชื่อบริษัทว่า Schlup & Co. ก่อนจะค่อยๆ เติบโตกลายเป็นผู้ผลิตกลไกนาฬิการายสำคัญหลังสงครามโลกครั้งที่ 2
จากนั้น บริษัทก็เริ่มทำแบรนด์นาฬิกาของตัวเองมาเรื่อยๆ จนกระทั่ง ค.ศ.1957 ได้เปิดตัว RADO ขึ้น ชื่อนี้มาจากคำว่า “วงล้อ” ในภาษาเอสเปรันโต ที่สำคัญยังอยู่ภายใต้ SWISS MADE การันตีมาตรฐาน โดยคอลเล็กชั่นแรกของแบรนด์คือ Golden Horse ที่เปรียบเสมือนสัญลักษณ์ของ RADO มาถึงปัจจุบัน และนับเป็นหนึ่งในนาฬิกาข้อมือรุ่นแรกๆ ที่ทำการตลาดโดยชูคุณสมบัติต้านแม่เหล็ก นี่คือสัญญาณแรกของความมุ่งมั่นด้านเทคนิคที่ RADO จะยึดเป็นจุดแข็งต่อไปในอนาคต
ใน ค.ศ.1986 นับเป็นอีกก้าวกระโดดครั้งสำคัญ เมื่อ Swatch Group บริษัทนาฬิกายักษ์ใหญ่ของสวิตเซอร์แลนด์ได้เข้าซื้อ RADO ทำให้แบรนด์กลายเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มบริษัทนาฬิการะดับโลก ซึ่งครอบคลุมแบรนด์ดังอื่นๆ เช่น Omega, Longines, Tissot และ Swatch ตั้งแต่นั้น RADO ก็ได้รับการสนับสนุนด้านเทคโนโลยีการผลิต การจัดจำหน่าย และเครือข่ายโลจิสติกส์ ทำให้สามารถต่อยอดนวัตกรรมวัสดุและขยายตลาดไปทั่วโลกอย่างมั่นคง
ผลประกอบการในไทยแนวโน้มบวก แม้นักท่องเที่ยวลด
“มีหลายประเทศใหญ่ในโลกที่เป็นผู้ผลิตนาฬิกา ไม่ว่าจะเป็นจีน ญี่ปุ่น ฝรั่งเศส รวมถึงสวิตเซอร์แลนด์ซึ่งเป็นผู้ผลิตที่มีชื่อเสียงด้านคุณภาพ และประสบการณ์ที่ยาวนาน บางแบรนด์มีมานานกว่า 200 ปี ส่วน Rado เองก็ก่อตั้งมาตั้งแต่ ค.ศ.1917 และไม่ได้เป็นเพียงนาฬิกาที่ใช้บอกเวลา แต่เป็นเรื่องของดีไซน์ ตัวตน ศิลปะ และการส่งต่อสู่คนรุ่นหลัง ซึ่งแตกต่างจากโทรศัพท์ที่ใช้แค่ไม่กี่ปีก็ต้องเปลี่ยน” Adrian Bosshard CEO ของ RADO กล่าวในการสัมภาษณ์พิเศษกับ Forbes Thailand
พร้อมทั้งให้ข้อมูลว่า ปัจจุบันมีนาฬิกาข้อมือขายอยู่ 1.1 พันล้านเรือนทั่วโลก ในจำนวนนี้เป็นนาฬิกาจากสวิสเซอร์แลนด์ราว 20 ล้านเรือน แม้เป็นอัตราส่วนที่น้อยกว่า 2% แต่คิดเป็นมูลค่าถึง 70% ของยอดขายทั่วโลก ครองตลาดใหญ่ที่สุด และยังคงเติบโตอย่างแข็งแกร่งในอนาคต
สำหรับประเทศไทย RADO เริ่มเข้ามาทำตลาดตั้งแต่ ค.ศ.1950 นับเป็นแบรนด์นาฬิกาข้อมือรายแรกๆ และยังมีฐานลูกค้าที่เหนียวแน่นมาจนปัจจุบัน โดยประเทศไทยเป็นตลาดในอันดับที่ 11 ของ RADO จากการวางจำหน่ายใน 114 ประเทศทั่วโลก และยังคงมีศักยภาพในการเติบโตสูง
กลุ่มลูกค้าของ RADO ในไทยสามารถแบ่งได้ 2 ประเภท คือ ผู้บริโภคคนไทย และ นักท่องเที่ยวต่างชาติ โดยปีนี้ปัจจัยด้านภูมิรัฐศาสตร์ และจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ลดลงได้ส่งผลกับการทำตลาดในประเทศไทย โดยเฉพาะจำนวนนักท่องเที่ยวจีนที่เมือก่อนมาเยือนประเทศไทยเป็นจำนวนมาก และมีกำลังซื้อที่มาก แต่ปัจจุบันพฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนไป คนจีนซื้อของในจีนและซื้อของนอกประเทศน้อยลง รายได้ของ RADO จากฝั่งนักท่องเที่ยวจีนจึงลดลงอย่างมีนัยยะสำคัญ
อย่างไรก็ตาม ตลาดในประเทศไทยยังมีแนวโน้มที่ค่อนข้างเป็นบวก เนื่องจากความสัมพันธ์อันยาวนานและเหนียวแน่นที่แบรนด์มีกับกลุ่มลูกค้าคนไทย และความต้องการในประเทศที่ยังมีสูง รายได้จากผู้บริโภคในประเทศเสริมด้วยรายได้จากนักท่องเที่ยวยุโรป อินเดีย ลาว และสิงคโปร์ จึงสามารถชดเชยรายได้จากฝั่งนักท่องเที่ยวจีนได้
“ผลประกอบการของ RADO ในไทยยังมีแนวโน้มที่ค่อนข้างเป็นบวก แบรนด์ยังคงโฟกัสที่กลุ่มลูกค้าคนไทยเป็นหลัก เชื่อว่าในอีก 2-3 เดือนข้างหน้า และในอนาคตอันใกล้นี้จะเห็นการเติบโตอย่างแข็งแกร่ง” Adrian Bosshard กล่าว

โปรดักต์เรือธง-ขยายบูทีค สะท้อนความมุ่งมั่นลงทุนในไทย
ในด้านการผลิตนาฬิกา RADO ได้รับการขนานนามว่าเป็น "Master of Materials" ด้วยความเชี่ยวชาญในการใช้วัสดุ โดยปฏิวัติการผลิตนาฬิกาแบบดั้งเดิมด้วยการเปิดตัวไฮเทคเซรามิกตั้งแต่ช่วงทศวรรษที่ 1980 ทำให้ตัวเรือนนาฬิกามีน้ำหนักเบา ทนทานต่อรอยขีดข่วน ปัจจุบัน RADO จึงเป็นแบรนด์ที่มีจุดเด่นด้วยการออกแบบล้ำสมัย ผสมผสานกับการใช้วัสดุได้อย่างลงตัว โดย Adrian Bosshard กล่าวว่า ปัจจุบันโปรดักต์ของ RADO แบ่งเป็น 3 เซ็กเมนต์ ประกอบด้วย สปอร์ต, ไลฟ์สไตล์ และคลาสสิก ซึ่งมีสัดส่วนในการขายค่อนข้างบาล๊านซ์กัน
เริ่มที่สายสปอร์ต คอลเล็กชั่นที่โดดเด่นคือ กัปตันคุก (Captain Cook) ซึ่งดึงดูดกลุ่มลูกค้าคนรุ่นใหม่ โดยได้แรงบันดาลใจในการออกแบบมาตั้งแต่รูปลักษณ์ดั้งเดิมจาก ค.ศ.1962 และปัจจุบันมีการใช้เทคโนโลยีไฮเทคเซรามิกในการออกแบบ ผสมผสานระหว่างอดีตและปัจจุบันอย่างลงตัว ซึ่งความโดดเด่นของกัปตันคุกคือน้ำหนักเบาแม้จะมีขนาดใหญ่ เพราะทำด้วยไฮเทคเซรามิก และทนทานต่อรอยขีดข่วน ไม่ว่าจะใส่ทำงานหรือเล่นกีฬาก็จะดูใหม่ตลอดเวลา ที่สำคัญเป็นวัสดุที่ใส่แล้วรู้สึกสะดวกสบาย ซึ่งทั้ง 3 ความโดดเด่นนี้ล้วนเป็นจุดสำคัญของแบรนด์ RADO
โปรดักต์ไลฟ์สไตล์ตัวต่อมาที่เป็นเรือธงเหมือนกันคือ ทรูสแควร์ (True Square) ที่ล่าสุดเพิ่งเปิดตัวรุ่นรุ่นลิมิเต็ดด้วยการคอลแล็บกับ จีชางอุค นักแสดงและนักร้องชาวเกาหลีใต้เพื่อเอาใจแฟนคลับชาวไทย โดยความพิเศษของทรูสแควร์คือการสวมใส่ได้ทั้งชายและหญิง มีดีไซน์หน้าปัดที่โดเด่นด้วยทับทิมสีแดง และเป็น Skeleton Watches ที่เห็นกลไกของนาฬิกาด้านใน

อีกรุ่นในหมวดหมู่ไลฟ์สไตล์คือ DiaStar ที่เปรียบเหมือนไอคนิกอีกตัวของ RADO เพราะถือกำเนิดมาตั้งแต่ ค.ศ.1962 พร้อมคุณสมบัติทนทานต่อรอยขีดข่วน ที่สำคัญคอลเล็กชั่นนี้ยังเป็นที่ชื่นชอบในประเทศไทยมานานกว่า 10 ปีอีกด้วย
สำหรับโปรดักต์ในหมวดคลาสสิก คอลเล็กชั่นที่โดดเด่นคือ เซนทริกซ์ (Centrix) ที่สร้างขึ้นเพื่อความสง่างาม หรูหรา และซับซ้อน สำหรับทั้งชายและหญิง โดยหน้าปัดระหว่างขอบจรดขอบเป็นแบบคริสตัลแซฟไฟร์ ทำให้ทนทานต่อรอยขีดข่วน และเป็นแบบ Open Heart ที่เผยให้เห็นถึงกลไกด้านในบางส่วน
“จะเห็นว่า Rado มีหลายผลิตภัณฑ์ และนวัตกรรมล้ำสมัย ตลอดจนการออกแบบที่มีเอกลักษณ์ ครอบคลุมกลุ่มลูกค้าเดิมที่ค่อนข้างมีความเป็นผู้ใหญ่ และกลุ่มลูกค้าคนรุ่นใหม่ ที่ไม่ได้มองหานาฬิกาเพื่อแค่ใส่ดูเวลา แต่มองหางานศิลปะ เป็นเครื่องแสดงตัวตน คนรุ่นใหม่จึงให้ความสนใจกับแบรนด์เรา และอันที่จริงกลุ่มลูกค้าอาจไม่ได้แบ่งตามอายุ แต่แบ่งตามความสนใจและการออกแบบนาฬิกา”
นอกจากนาฬิกาแล้ว การพัฒนาร้านค้าก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน ลูกค้าที่เข้าร้านเพื่อซื้อนาฬิกาพรีเมียม ย่อมต้องการประสบการณ์ที่เป็นพรีเมียมด้วยเช่นกัน Rado จึงเปิดบูทีคแห่งแรกในไทยที่เซ็นทรัลเชียงใหม่เมื่อปีที่แล้ว ต่อด้วยเซ็นทรัลเวิลด์เมื่อเดือนก่อน และสาขาล่าสุดที่เซ็นทรัล พาร์ค โดยยังคงแผนในการเปิดบูทีคตามพื้นที่กลยุทธ์อื่นๆ ต่อไปในอนาคต รวมถึงการเปิดตัวสินค้าใหม่อยู่เป็นระยะ ตลอดจนกิจกรรมทางการตลาดต่างๆ ล้วนแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของแบรนด์ในการลงทุนและขยายตลาดในประเทศไทย Adrian Bosshard กล่าว

เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : Patek Philippe เปิดตัวนาฬิกาเดรสวอทช์รุ่นใหม่ โดดเด่นด้วยหน้าปัดคริสตัลแซฟไฟร์อันล้ำสมัยที่แต่งแต้มด้วยลวดลายม้าลาย
ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine


