Spotify ระบบสตรีมมิ่งดนตรีระดับโลกเปิดตัวแล้วในประเทศไทย ชูจุดเด่นการทุ่มทุนเก็บข้อมูลพฤติกรรมการฟังเพลงของผู้บริโภคตอบโจทย์นักโฆษณา ประเดิมดึงพันธมิตร 6 แบรนด์ดังทำการตลาดร่วมกัน
Sea Yen, Ong รองประธานกรรมการบริหารฝ่ายขายระดับภูมิภาคของ
Spotify ทวีปเอเชีย เปิดเผยว่า วันนี้ (22 สิงหาคม 60) Spotify แพลตฟอร์มสตรีมมิ่งดนตรี เปิดให้ใช้บริการแล้วในประเทศไทย นับเป็นประเทศที่ 61 ของโลกที่เปิดตัว และเป็นประเทศที่ 5 ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ต่อจากสิงคโปร์ อินโดนีเซีย มาเลเซีย และฟิลิปปินส์
โดย Spotify เป็นแพลตฟอร์มสตรีมมิ่งดนตรีที่มีผู้ลงทะเบียนกว่า 140 ล้านคนทั่วโลก ซึ่ง 60 ล้านคนเป็นผู้ใช้แบบบัญชีพรีเมียม (เสียค่าใช้จ่าย) ตั้งแต่เปิดตัวในปี 2551 ที่ประเทศสวีเดน Spotify ได้สร้างรายได้ให้กับอุตสาหกรรมดนตรีทั่วโลกรวมกว่า 5 พันล้านเหรียญสหรัฐ
Spotify มีเพลงให้เลือกสตรีมมิ่งได้ 30 ล้านเพลง และการเปิดตัวในประเทศไทย Spotify จะมีเพลงภาษาไทยเพิ่มเติมในคลังเพลงจากหลากหลายค่าย รวมถึงมี playlists เพลงสำหรับประเทศไทยโดยเฉพาะจากผู้เชี่ยวชาญด้านเพลงไทย เช่น Thai Pop Hits, ลูกทุ่งฮิต, เพลงรักเพื่อชีวิต ตอบสนองชาวไทยที่ 88% หันมาฟังเพลงด้วยช่องทางสตรีมมิ่งออนไลน์ทดแทนช่องทางรูปแบบเดิม
Sea Yen กล่าวต่อว่า ความแตกต่างอย่างหนึ่งของ Spotify คือการลงทุนสูงในการเก็บข้อมูลพฤติกรรมการฟังเพลงของผู้บริโภควันละ 1 แสนล้าน data points และนำข้อมูลนั้นมาใช้งานจริง ทั้งเพื่อพัฒนาประสบการณ์การฟังเพลงของผู้ใช้ผ่านการแนะนำเพลงหรือ playlists ที่ผู้ใช้น่าจะชื่นชอบ และเพื่อนำข้อมูลมาวิเคราะห์ใช้สนับสนุนนักการตลาดที่ต้องการโฆษณาร่วมกัน
เนื่องจาก
Spotify มีการเก็บข้อมูลอย่างละเอียด นอกจากข้อมูลเบื้องต้นอย่างเพศและอายุแล้ว จะเก็บสถิติรสนิยมการฟังเพลงในแต่ละช่วงเวลาของวัน ความยาวในการรับฟัง แม้กระทั่งระดับเสียงดัง-เบาในการฟังด้วย ซึ่งจะทำให้นักการตลาดเข้าใจตัวตนและอารมณ์ผู้บริโภคได้อย่างลึกซึ้ง
Spotify มีระบบสำหรับผู้ใช้ทั้งแบบพรีเมียมไม่มีโฆษณาคั่น และแบบไม่เสียค่าใช้จ่ายซึ่งจะมีการแสดงโฆษณาให้ผู้ใช้รับชม 2 แบบ คือ เสียงเท่านั้น (audio) และ ภาพและเสียง (video) ซึ่งแบบภาพและเสียงจะปรากฏเฉพาะเมื่อผู้ใช้มีการใช้งานหน้าจอ โฆษณาความยาว 15-30 วินาทีเหล่านี้จะปรากฏเมื่อจบเพลง รวมระยะเวลาโฆษณา 2-3 นาทีต่อชั่วโมง ซึ่ง Spotify มีการวิจัยพบว่า 85% ของผู้ใช้จะชมหรือฟังโฆษณาจนจบ เนื่องจากแพลตฟอร์มให้แรงจูงใจโดยถ้าหากรับชมโฆษณาจนจบระบบจะงดการให้ชมโฆษณาชิ้นต่อไปในช่วง 30 นาทีข้างหน้า
นอกจากนี้ แบรนด์ที่ต้องการลงโฆษณายังสามารถต่อยอดการสร้างโฆษณาด้วยระบบ API (Application Programming Interface) ของ Spotify โดยนำข้อมูลของผู้บริโภคที่ Spotify เก็บไว้มาสร้างสรรค์ เช่น สร้าง playlists ที่เกี่ยวข้องกับแบรนด์เพื่อลงโฆษณาของแบรนด์โดยเฉพาะ, ดึงศิลปินที่ตรงกับกลุ่มเป้าหมายมาร่วมงานในโฆษณา เป็นต้น
ด้าน
ปัทมวรรณ สถาพร กรรมการผู้จัดการ
มายด์แชร์ ประเทศไทย กล่าวว่า จำนวนผู้ฟังดนตรีแบบออนไลน์สตรีมมิ่งในไทยค่อนข้างวัดยากเนื่องจากคำจำกัดความแพลตฟอร์มการฟังที่ถือเป็นสตรีมมิ่งแตกต่างกัน แต่คาดว่าน่าจะมีไม่ต่ำกว่า 40 ล้านคน รวมทุกแพลตฟอร์ม เช่น YouTube, joox, Apple Music, ฯลฯ และการเปิดตัวของ Spotify ก็จะเป็นช่องทางใหม่สำหรับการตลาด ด้วยจุดเด่นด้านข้อมูลผู้บริโภคที่มีทำให้จับคู่ระหว่างแบรนด์กับกลุ่มเป้าหมายได้เหมาะสมมากขึ้น
ซึ่ง
การเปิดตัวครั้งแรกของ Spotify จะประเดิมการสร้างสรรค์การตลาดร่วมกับ 6 แบรนด์ระดับโลก ได้แก่ Rexona, Clear, Magnum (3 แบรนด์ในเครือยูนิลีเวอร์), Nike, Mazda และ Pepsi ที่ต่างต้องการความแตกต่างใหม่ๆ ในการสร้างแบรนด์
Forbes in Details
- สำหรับแพคเกจพรีเมียมของ Spotify เพื่อเลี่ยงการรับชมโฆษณาและเปิดใช้ฟีเจอร์ต่างๆ อย่างเต็มรูปแบบ ราคาอยู่ที่ 129 บาทต่อเดือน และสำหรับลูกค้าดีแทคสามารถเลือกจ่ายแบบรายวันและรายสัปดาห์ ราคา 8 บาทต่อวัน และ 39 บาทต่อสัปดาห์
- Sea Yen กล่าวเพิ่มเติมว่า ความแตกต่างของ Spotify นอกจากจะมีการเก็บข้อมูลผู้ใช้อย่างละเอียดแล้ว ยังมีพันธมิตรระดับโลกที่นำแอพพลิเคชั่น Spotify เข้าไปติดตั้งในระบบปฎิบัติการของผลิตภัณฑ์ โดยไม่ต้องเชื่อมต่อกับโทรศัพท์มือถือ ยกตัวอย่างกลุ่มรถยนต์ เช่น BMW, Mini, Volvo, Ford, Tesla กลุ่มเครื่องเสียง เช่น Pioneer, Bose, Yamaha