แม้ภาพรวมเศรษฐกิจภาคอีสานจะขับเคลื่อนด้วยจังหวัดใหญ่ แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา จังหวัดเมืองรองหลายแห่งมีการเติบโตอย่างน่าสนใจ ยกตัวอย่างเช่น “นครพนม” ที่ในช่วงไม่กี่ปีมานี้ ที่นี่ไม่ใช่แค่เมืองทางผ่านอีกต่อไปแล้ว แต่เป็นเมืองที่นักเดินทางตั้งใจไปเผื่อสัมผัสกับเสน่ห์เมืองริมฝั่งโขงแห่งนี้ จนเศรษฐกิจขับเคลื่อนอย่างก้าวกระโดด
ย้อนกลับไปก่อนช่วงโควิด ภาพจำของใครหลายคนเมื่อพูดถึง “นครพนม” อาจมองว่าที่นี่เป็นจังหวัดเล็กๆ ที่เงียบสงบ มีร้านอาหารและโรงแรมประปราย มีแหล่งท่องเที่ยวสำคัญคือพระธาตุพนม บ้างมองว่าที่นี่เป็นทางผ่านสำหรับข้ามไปฝั่งท่าแขกของ สปป.ลาวด้วยซ้ำ
แต่ปัจจุบันจังหวัดเมืองรองแห่งนี้มีการเติบโตอย่างน่าสนใจ โรงแรม ร้านอาหาร และคาเฟ่ผุดขึ้นมากมายตลอดเส้นทางเลียบแม่น้ำโขง เพื่อรองรับนักท่องเที่ยวที่มาเยือนเมืองนี้ แลนด์มาร์กของเมืองอย่าง “พญาศรีสัตตนาคราช” ที่ตั้งตระหง่านริมโขง มีผู้คนเดินทางมาสักการะกันอย่างต่อเนื่องแม้ไม่ใช่วันหยุดยาวหรือเทศกาล เช่นเดียวกันกับพระธาตุพนม ที่ยังดึงดูดแรงศรัทธาของผู้คนได้อย่างล้นหลาม
[ รัฐ-เอกชนร่วมผลักดัน ทำนครพนมบูม ]
ว่าที่ร้อยตรี รวยรุ่ง ใครบุตร รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม กล่าวว่า หากมองในเรื่องการท่องเที่ยวเฉพาะ 76 จังหวัดทั่วประเทศ ไม่รวมกรุงเทพมหานคร นครพนมถูกจัดอันดับให้เป็นจังหวัดที่สร้างรายได้จากการท่องเที่ยวอันดับที่ 49 ของประเทศ มูลค่าเม็ดเงินจากภาคการท่องเที่ยวกว่า 2,500 ล้านบาท โดยที่ผ่านมามีการพัฒนาให้เกิดแหล่งท่องเที่ยวที่น่าสนใจ รวมถึงจัดงานที่ดึงดูดนักท่องเที่ยว อย่างล่าสุดคืองานไหลเรือไฟที่ยกระดับเป็นงานไหลเรือไฟโลก ซึ่งการพัฒนาเหล่านี้เกิดขึ้นได้จาก ‘ความสามัคคี’ ของภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน

ชนนท์ กุลตั้งวัฒนา ประธาน YEC นครพนม กล่าวว่า นครพนมถือเป็นจังหวัดที่มีศักยภาพทางเศรษฐกิจและการค้าชายแดนสูงมาก ด้วยที่ตั้งเชิงยุทธศาสตร์ซึ่งเป็นประตูการค้าสำคัญเชื่อมไทยกับ สปป.ลาว เวียดนาม และจีนตอนใต้ ผ่านสะพานมิตรภาพไทย–ลาว แห่งที่ 3 จึงกลายเป็นเส้นทางหลักในการขนส่งและส่งออกผลไม้ไทยไปจีน รวมถึงสินค้าทางการเกษตรและสินค้าแปรรูปอื่นๆ
“ปัจจุบันมูลค่าการค้าชายแดนของนครพนมสูงกว่า 120,000 ล้านบาท และยังมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง โดยในอนาคตเมื่อโครงการรถไฟทางคู่สายบ้านไผ่–นครพนมแล้วเสร็จในปี 2571 จะยิ่งเสริมศักยภาพด้านโลจิสติกส์ของจังหวัดให้แข็งแกร่งมากขึ้น ทั้งในด้านต้นทุนและเวลาในการขนส่งสินค้า
“นอกจากศักยภาพด้านเศรษฐกิจแล้ว นครพนมยังมีจุดแข็งด้านการท่องเที่ยวและวัฒนธรรม ด้วยภูมิทัศน์ริมแม่น้ำโขงที่งดงามยาวกว่า 100 กิโลเมตร เป็นเสน่ห์ที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวให้มาเยือนตลอดปี อีกทั้งยังเป็นแหล่งท่องเที่ยวสายศรัทธา มีพระธาตุพนมอันศักดิ์สิทธิ์ รวมถึงพระธาตุประจำวันเกิดต่างๆ ที่เป็นจุดหมายของผู้คนทั่วประเทศ

“และยังมีแลนด์มาร์กสำคัญอย่างพญาศรีสัตตนาคราช ถ้ำนาคีนาคา และแลนด์มาร์กใหม่ล่าสุดคือ ‘ชิงช้าสวรรค์ Mekong River Eye’ สูง 50 เมตร ที่จะเปิดให้บริการภายในปีนี้ ซึ่งจะช่วยยกระดับประสบการณ์ท่องเที่ยวริมโขงของนครพนมให้โดดเด่นยิ่งขึ้น” ชนนท์ กล่าว
ด้าน วิศรุต สร้อยคำ เจ้าของร้าน Chewa Cafe By SK Sroikham กล่าวว่า ย้อนกลับไปเมื่อ 5 ปีก่อน คาเฟ่ในนครพนมมีอยู่ 15-20 ร้าน ตอนนี้ร้านอาหารและคาเฟ่เพิ่มขึ้นเป็นกว่า 100 ร้านไปแล้ว เนื่องจากช่วงโควิดทำให้คนมาขอพรไหว้พระ ทำให้นักท่องเที่ยวเยอะขึ้น ส่งผลให้คนรุ่นใหม่ชาวนครพนมเห็นโอกาสในการทำธุรกิจในจังหวัด ซึ่งทำให้ได้อยู่ที่บ้านด้วย
“ผู้ประกอบการท้องถิ่นของนครพนมมีบทบาทสำคัญในการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าและเศรษฐกิจของจังหวัด ด้วยการนำ ‘ของดีท้องถิ่น’ มาต่อยอดให้เข้ากับไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่มากขึ้น ตัวอย่างเช่น การนำ กาละแม ซึ่งเป็นของขึ้นชื่อของนครพนม มาครีเอทเป็นเมนูเครื่องดื่มอย่างสมูทตี้ กาแฟ และไอศกรีมกาละแม ที่ช่วยให้ผู้บริโภคเข้าถึงได้ง่ายขึ้น พร้อมทั้งสร้างการรับรู้ใหม่ๆ จนกระตุ้นให้นักท่องเที่ยวกลับไปซื้อต้นตำรับกาละแมเป็นของฝาก เกิดการหมุนเวียนรายได้กลับคืนสู่ชุมชน
“อีกหนึ่งตัวอย่างคือ ลิ้นจี่ นพ.1 ซึ่งเป็นสินค้าขึ้นทะเบียน GI ของจังหวัด นำมาแปรรูปและพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้มีความน่าสนใจ จนได้รับการนำเสนอผ่านสื่อและห้างสรรพสินค้าในกรุงเทพฯ ช่วยขยายตลาดให้กับเกษตรกรและผู้ประกอบการในพื้นที่
“เป้าหมายของการต่อยอดเหล่านี้ ไม่ได้มีเพียงการเพิ่มยอดขายเท่านั้น แต่ยังมุ่งส่งเสริมให้คนในชุมชนเห็นคุณค่าและความภาคภูมิใจในผลิตภัณฑ์ท้องถิ่นของตนเอง ต่อยอดเศรษฐกิจฐานรากให้เติบโตอย่างยั่งยืน” วิศรุต กล่าว
[ LINE MAN Wongnai หนุนแพลตฟอร์มดิจิทัลผลักดันเศรษฐกิจท้องถิ่น ]
อิสริยะ ไพรีพ่ายฤทธิ์ รองประธานฝ่ายนโยบายสาธารณะและรัฐกิจสัมพันธ์ LINE MAN Wongnai กล่าวว่า นครพนมถือเป็นหนึ่งในจังหวัดที่มีการเติบโตโดดเด่นที่สุดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และเป็นตัวอย่างชัดเจนของเทรนด์ ‘เมืองรองกำลังโต (High Growth City)’ ซึ่งสอดคล้องกับกลยุทธ์ของ LINE MAN ที่มุ่งขยายบริการเข้าถึงอำเภอรองและพื้นที่ต่างจังหวัดทั่วประเทศมากขึ้น
โดยยอดออเดอร์ในนครพนมเติบโตเร็วกว่าค่าเฉลี่ยของทั้งภาคอีสานอย่างต่อเนื่อง สะท้อนถึงพฤติกรรมการใช้บริการดิจิทัลที่เพิ่มขึ้นในกลุ่มผู้บริโภคท้องถิ่น
จากข้อมูลล่าสุด ภาพรวมการเติบโตแบบปีต่อปี (YoY) พบว่า
- นครพนมมีอัตราการเติบโตของ GMV สูงถึง 16% เมื่อเทียบกับเฉลี่ยภาคอีสานที่ 14
- ขณะที่ จำนวนออเดอร์เติบโต 12% (เฉลี่ยภาคอีสาน 10%)
- จำนวนผู้ใช้เติบโต 11% (เฉลี่ยภาคอีสาน 5%) ซึ่งสะท้อนถึงการขยายตัวของฐานลูกค้าและความนิยมในบริการเดลิเวอรีที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ในแง่พฤติกรรมผู้บริโภค เมนูยอดนิยมของคนอีสาน ได้แก่ ส้มตำ โดยเฉพาะตำป่าและตำปูปลาร้า ส่วนเครื่องดื่มยอดฮิต ได้แก่ อเมริกาโน่และมัทฉะ ซึ่งเป็นเทรนด์ที่กำลังมาแรง นอกจากนี้ ในหมวดเครื่องดื่มยังมีแบล็คคอฟฟี่ ชาเขียวนม เอสเพรสโซ่เย็น ชาไทย และช็อกโกแลต ติดอันดับยอดนิยม โดยช่วงเวลาพีคของการสั่งอาหารคือ 11.00–14.00 น.
ประเภทอาหารที่เติบโตเร็วในปีนี้ ได้แก่ เพียวมัทฉะ สตรอว์เบอร์รี่ซันเดย์ พรีเมียมมัทฉะลาเต้ รามยอนเผ็ดเกาหลี x ไก่เกาหลี และขนมปังเกลือ (Shio Pan) ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าผู้บริโภคในภูมิภาคเริ่มเปิดรับเมนูใหม่ๆ ที่มีความหลากหลายมากขึ้น
นอกจากนี้ยังพบว่า เมืองรองในภาคอีสานเติบโตได้ดีมาก โดย Top 5 เมืองรองที่มีการเติบโตสูงสุดบน LINE MAN ได้แก่ สุรินทร์ อุบลราชธานี กาฬสินธุ์ ร้อยเอ็ด และมุกดาหาร รวมถึงอำเภอขนาดเล็กที่แพลตฟอร์มเข้าไปให้บริการแล้ว เช่น ด่านซ้าย (เลย), ขุขันธ์ (ศรีสะเกษ), บรบือ (มหาสารคาม) และธวัชบุรี (ร้อยเอ็ด)
สำหรับ ร้านยอดนิยมบน LINE MAN จังหวัดนครพนม ได้แก่ ร้านไก่จ๋า, ร้านส้มตำใบเตย ตำแซ่บ, ครัวโพธิ์ศรี, ตำตุ๊ปุ๊ สาขานครพนม, ร้านโปรด, Nomu Coffee and Dessert, ส้มตำป้าน้อย, พรเทพ อาหารเช้า, แอบอร่อย ตามสั่ง 2 และตำยำยั่ว

“แพลตฟอร์มเดลิเวอรีไม่ได้มีบทบาทเพียงช่วยร้านอาหารขายดีขึ้นเท่านั้น แต่ยังมีส่วนสำคัญในการสร้างอาชีพและกระจายรายได้ในท้องถิ่น ผ่านอาชีพ ‘ไรเดอร์’ ที่มีรายได้เฉลี่ยสูงกว่าค่าแรงขั้นต่ำ โดยในภาคอีสานมีรายได้เฉลี่ยประมาณ 480 บาทต่อวัน และบางพื้นที่สูงสุดถึง 3,500 บาทต่อวัน ซึ่งถือเป็นแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจสำคัญที่ช่วยเพิ่มรายได้ให้กับคนในพื้นที่” อิสริยะกล่าว
[ จากเมืองพักริมโขงสู่เมืองแห่งโอกาส ]
ว่าที่ร้อยตรีรวยรุ่ง กล่าวว่า ทิศทางการพัฒนานครพนมในวันนี้ไม่ได้มองเพียงระยะสั้น แต่เน้นการวางแผนเชิงยุทธศาสตร์ในระยะยาว 3–20 ปี โดยใช้ข้อมูล (Data) และการวิเคราะห์จุดแข็ง–จุดอ่อน (SWOT) มาประกอบการกำหนดแนวทางการพัฒนาอย่างมีระบบและยั่งยืน เป้าหมายคือการยกระดับจังหวัดให้เติบโตบนพื้นฐานของศักยภาพจริง พร้อมต่อยอดให้เกิดประโยชน์สูงสุดทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม
“นครพนมมีจุดแข็งด้านภูมิศาสตร์ที่โดดเด่น โดยเฉพาะ ‘ทิวทัศน์ริมฝั่งโขง’ ที่สามารถมองเห็นภูเขาฝั่ง สปป.ลาวได้อย่างสวยงาม ถือเป็น ‘วิวที่สร้างรายได้’ โดยไม่ต้องลงทุน เป็นแม่เหล็กดึงดูดนักท่องเที่ยวที่ไม่เหมือนใคร ซึ่งช่วยเสริมอัตลักษณ์ของจังหวัดในฐานะแหล่งท่องเที่ยวที่มีทั้งเสน่ห์ธรรมชาติและวัฒนธรรมร่วมสองฝั่งโขง

“ในด้านโครงสร้างพื้นฐาน นครพนมให้ความสำคัญกับโครงการรถไฟทางคู่ และถนนสายเศรษฐกิจ R8 / R12 ที่จะเชื่อมไทยกับลาวและเวียดนาม มองว่าเป็น ‘หัวจักร’ สำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของภูมิภาค โดยเปรียบเทียบว่าต้องทำให้เกิดประโยชน์ทั้ง ‘ขาไปและขากลับ’ เหมือนหัวรถจักรที่ลากโบกี้ที่เต็มทั้งสองทาง ไม่ใช่เพียงขนส่งสินค้าออกหรือรองรับนักท่องเที่ยวเท่านั้น แต่ต้องสร้างการหมุนเวียนทางเศรษฐกิจให้เกิดขึ้นจริงในทุกทิศทาง
“อีกด้านหนึ่งคือการสร้าง ระบบนิเวศการท่องเที่ยว (Tourism Ecosystem) ที่เชื่อมโยงทุกภาคส่วนเข้าด้วยกัน ตั้งแต่โรงแรม ร้านอาหาร สนามกอล์ฟ ไปจนถึงสินค้าชุมชน เพื่อมอบประสบการณ์การท่องเที่ยวที่ครบวงจรและสร้างรายได้กระจายสู่ท้องถิ่นอย่างทั่วถึง
“สุดท้าย การได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐ โดยเฉพาะการมาเยือนของนายกรัฐมนตรีในงานไหลเรือไฟที่ผ่านมา ถือเป็นสัญญาณเชิงบวกที่สะท้อนว่ารัฐบาลให้ความสำคัญกับการพัฒนาการท่องเที่ยวของจังหวัดนครพนมอย่างจริงจัง ซึ่งไม่เพียงช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนและภาคเอกชน แต่ยังเป็นแรงส่งสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของจังหวัดให้เติบโตอย่างมั่นคงในระยะยาว”
ด้าน ชนนท์ ประธาน YEC นครพนม กล่าวว่า ตลอดช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา นครพนมได้เปลี่ยนผ่านจาก ‘เมืองผ่าน’ ที่นักท่องเที่ยวแวะเพียงชั่วคราว มาเป็น ‘เมืองพัก’ อย่างเต็มตัว ปัจจัยสำคัญมาจากการเกิดแลนด์มาร์กสำคัญอย่าง พญาศรีสัตตนาคราช ที่กลายเป็นจุดหมายแห่งศรัทธาและสัญลักษณ์ของจังหวัด ช่วยดึงดูดให้นักท่องเที่ยวตัดสินใจพักค้างคืนเพื่อท่องเที่ยวและสัมผัสบรรยากาศริมโขงอย่างเต็มที่ ส่งผลให้เศรษฐกิจในพื้นที่เติบโตขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
“โดยเทรนด์ธุรกิจที่กำลังมาแรงในนครพนม คือ ธุรกิจโรงแรมและร้านอาหาร ซึ่งขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในช่วงเทศกาลสำคัญ เช่น งานไหลเรือไฟ หรือวันหยุดยาว ที่มักประสบปัญหาห้องพักไม่เพียงพอ รองรับนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามาจำนวนมาก สะท้อนถึงศักยภาพของจังหวัดในฐานะเมืองท่องเที่ยวหลัก และเป็นโอกาสทองสำหรับนักลงทุนที่ต้องการเข้ามาพัฒนาในภาคธุรกิจบริการ

“อีกหนึ่งปัจจัยสำคัญคือ บทบาทของเทคโนโลยีหลังยุคโควิด-19 ที่ทำให้ผู้ประกอบการในพื้นที่สามารถใช้แพลตฟอร์มออนไลน์ในการขยายฐานลูกค้าและบริหารธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการขายผ่านแอปเดลิเวอรี การจองห้องพักออนไลน์ หรือการทำการตลาดผ่านโซเชียลมีเดีย ส่งผลให้ผู้ประกอบการรายย่อยสามารถแข่งขันกับธุรกิจรายใหญ่ได้อย่างเท่าเทียม และช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจท้องถิ่นให้เติบโตอย่างยั่งยืน” ชนนท์กล่าว
ขณะที่ วิศรุต เจ้าของร้าน Chewa Cafe By SK Sroikham ระบุว่า ในยุคปัจจุบัน การทำอาหารอร่อยถือเป็นเพียง ‘พื้นฐาน’ ของการเปิดร้าน แต่สิ่งที่กลายเป็นปัจจัยสำคัญในการตัดสินใจของลูกค้าคือ ‘รีวิว’ และ ‘รางวัลการันตี’ ที่ทำหน้าที่เหมือนเครื่องยืนยันคุณภาพและความน่าเชื่อถือของร้าน เพราะในโลกออนไลน์ที่มีตัวเลือกมากมาย รีวิวจากลูกค้าจริงคือสิ่งที่สร้างความมั่นใจให้ผู้บริโภคเลือกเข้าร้านนั้น ๆ ได้ง่ายขึ้น
“ในอีกมุมหนึ่ง มองว่ารีวิวคือเครื่องมือสำคัญในการพัฒนา เพราะคำติชมของลูกค้าคือ ‘อาจารย์ที่ดีที่สุด’ ที่ช่วยให้ผู้ประกอบการได้เรียนรู้ข้อบกพร่องของตัวเอง และนำไปปรับปรุงทั้งด้านรสชาติ บริการ และประสบการณ์ของลูกค้าให้ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง
“ขณะเดียวกัน รางวัลต่างๆ เช่น LINE MAN Wongnai Users’ Choice ก็เปรียบเสมือน ‘เป้าหมาย’ ที่ผู้ประกอบการอยากวิ่งเข้าไปให้ถึง เพราะไม่ใช่แค่เครื่องหมายแห่งความภาคภูมิใจ แต่ยังเป็นแรงผลักดันให้เจ้าของร้านมีแรงใจพัฒนาคุณภาพของร้านให้ดียิ่งขึ้นทุกปี เพื่อรักษามาตรฐานและความไว้วางใจจากลูกค้าให้ได้อย่างยั่งยืน” วิศรุตกล่าวย้ำ

อิสริยะ รองประธานฝ่ายนโยบายสาธารณะและรัฐกิจสัมพันธ์ LINE MAN Wongnai กล่าวว่า รางวัล LINE MAN Wongnai User’ Choice ถือเป็นหนึ่งในรางวัลที่สะท้อนเสียงจริงจากผู้บริโภคอย่างแท้จริง เพราะไม่ได้มาจากคณะกรรมการหรือนักวิจารณ์อาหาร แต่เกิดจากข้อมูลการรีวิวและการสั่งซื้อจริงของผู้ใช้งานนับล้านคนทั่วประเทศ จึงทำให้รางวัลนี้มีความน่าเชื่อถือสูง และกลายเป็นมาตรฐานสำคัญที่กระตุ้นให้ร้านอาหารต้องรักษาคุณภาพทั้งในด้านรสชาติ บริการ และประสบการณ์ลูกค้าอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้ได้รับการยอมรับจากผู้บริโภคในวงกว้าง
สำหรับ LINE MAN ยังเดินหน้าสนับสนุนผู้ประกอบการร้านอาหารผ่านการจัดกิจกรรมแคมเปญโปรโมชันอย่างล่าสุด แคมเปญ “ถูกสุดทุกวัน GRAND SALE” จัดเต็มดีลใหม่ ล็อกดีล–แฟลชดีล จัดเต็มดีลพิเศษแบบจุกๆ ทุกช่วงเวลา เพื่อช่วยกระตุ้นยอดขาย เพิ่มการหมุนเวียนทางเศรษฐกิจ และสร้างความคึกคักให้กับร้านอาหารในแต่ละพื้นที่อย่างต่อเนื่อง ถือเป็นอีกหนึ่งกลไกสำคัญที่ช่วยให้เศรษฐกิจท้องถิ่นเติบโตได้จริง
ภาพ: LINE MAN Wongnai และกนกวรรณ มากเมฆ
เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : LINE MAN ขึ้นอันดับ 1 ลงทะเบียนร้านคนละครึ่งวันแรก! กวาดกว่า 3 หมื่นร้านทั่วไทย
ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine


