Fitbit เปิดตัวสู่ประเทศไทย เบอร์หนึ่ง "Wearable Fitness Devices"
Fitbit เปิดตัวสู่ประเทศไทยอย่างเป็นทางการ เบอร์หนึ่งตลาด “Wearable Fitness Devices” ในประเทศไทย พร้อมด้วยเทคโนโลยีที่ตอบโจทย์ทุก Lifestyle ของการออกกำลังกาย ในขณะที่ Fitbit Inc. บริษัทแม่ในสหรัฐฯ เข้าตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์กวันแรกสร้างมูลค่าถึง 4 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ
การเปิดตัวอย่างเป็นทางในประเทศไทยนำโดย Jaime Hardley ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายการตลาด ประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก แห่ง Fibit ได้เกิดขึ้นภายหลังจาก James Park CEO และ CO-Founder แห่ง Fitbit Inc. ได้นำบริษัทเข้าตลาดหุ้นนิวยอร์ก (New York Stock Exchange, NYSE) เมื่อสัปดาห์ก่อน และเปิดทำการซื้อขายครั้งแรก ซึ่งทันทีที่ปิดตลาดฯ Fibit มีมูลค่ากว่า 4 พันล้านเหรียญสหรัฐ
ประเทศไทยถือเป็นประเทศในกลุ่มเอเชียที่ Fitbit เข้ามาลุยตลาดประเภท “Wearable Fitness Devices” ร่วมไปกับ อินเดีย, มาเลเซีย, ญี่ปุ่น, เกาหลี, จีน เป็นต้น สำหรับการทำตลาดในประเทศไทยนั้น Fitbit ร่วมกับตัวแทนจำหน่าย อาทิ iStudio, Jaymart และจำหน่ายผ่านร้านอุปกรณ์ไอทีเป็นหลัก
การเปิดตัวอย่างเป็นทางการในครั้งนี้ Fitbit เปิดตัว Wearable Fitness Devices 6 รุ่นหลัก โดยมี ฟิตบิท เสิร์ช (Fitbit Surge), ฟิตบิท ชาร์จ เอชอาร์ (Fitbit Charge HR) ที่มี PurePluse เทคโนโลยีการตรวจวัดการเต้นของหัวใจ เป็นธงนำในตลาดกลุ่มบน
“ไม่ ต้องกังวลกับการเชื่อมกับอุปกรณ์เพราะ fitbit สามารถเชื่อมต่อกับโทรศัพท์ได้มากกว่า 150 รุ่นทั้งในระบบ iOS, Android และ Windows” Jaime Hardley กล่าวให้สัมภาษณ์ก่อนการเปิดตัว fitbit พร้อมเสริมว่า “ประเทศไทยมีแนวโน้มในการใส่ใจสุขภาพมากขึ้น และเทรนแห่งการออกกำลังกายกำลังมา จึงได้ตัดสินใจเข้ามาเปิดตัวอีกครั้งในปีนี้”
“ไม่ว่าจะเป็น นิวซีแลนด์ ออสเตรเลีย มาเลเซีย ไทย fitbit ถือว่าเป็นผู้นำตลาดในขณะนี้” Jaime Hardley ผู้ดูแลนภูมิภาคนีี้ กล่าวและเสริมอีกว่า “ในสหรัฐฯ fitbit ครองตลาดอยู่ 85%” เป็นบทสัมภาษณ์ที่เชื่อมโยงไปในทิศทางเดียวกับการเติบโตอย่างก้าวกระโดดของ Fitbit Inc. ที่จากเดิมการขาดทุนกำไรสุทธิ 2 ปีซ้อน ที่ 4.2 ล้านเมื่อปี 2012 และ 51.6 ล้านเหรียญฯ ในปี 2013 ก่อนที่ปี 2014 Fitbit สร้างกำไรสุทธิแบ่งบานถึง131.8 ล้านเหรียญฯ จากรายได้รวม 745.4 ล้านเหรียญฯ
“เมื่อ 2 ปี ก่อนเราลงเงินไป 43 ล้านเหรียญสหรัฐและเราก็ไม่ได้มันตั้งแต่นั้นมา” James Park CEO และ CO-Founder แห่ง Fitbit ให้สัมภาษณ์ผ่านโทรศัพท์กับ Aron Tilly - forbes Staff และเสริมด้วยว่า “เพียง ไตรมาสแรกที่ผ่านมายอดขายสูงเป็น 3 เท่าเป็นจำนวน 336.8 ล้านเหรียญฯ โดยมี 3 ผลิตภัณฑ์หลัก Charge, Charge HR, Surge เป็นส่วนร่วมสำคัญการก้าวกระโดดของรายได้จาก 8 ปีของบริษัท”
โดยผลิตภัณฑ์หลักทั้ง 3 รุ่น ซึ่งถือเป็นธงนำในตลาดบนที่ Jaime Hardley นำมาเปิดตัวที่ประเทศไทยและเป็นไฮไลท์ของงาน มีเทคโนโลยีพื้นฐานคือการตรวจวัดชีพจรจากพฤติกรรมการนอนหลับทั้ง 3 รุ่น แต่ในรุ่น Charge HR และ Surge จะใส่เทคโนโลยี PurePluse ในการตรวจวัดอัตราการเต้นของหัวใจในแบบต่อเนื่อง ตลอด 24 ชั่วโมง และระบบ GPS สำหรับรุ่น Surge
ทั้งนี้จากผลวิจัยของ บริษัทวิจัย IDC แห่งสหรัฐฯ ได้คาดการณ์ถึงตลาดรวมของ Wearables Devices ที่คาดการณ์การเติบโตกว่า 173.3% กับผลิตภัณฑ์ 72.1 ล้านชิ้นที่ได้ส่งจำหน่ายในทั่วโลก ด้วยตลาด Wearables Devices และยังไม่ใครเป็นเจ้าตลาดอย่างแท้จริง
นอกจาก Fibit แล้วยังมีผู้เล่นอย่าง Apple, Jawbone, Misfit, Garmin แล้ว ยังมี Xiaomi ผู้ผลิตสมาร์ตโฟนราคาถูกในคุณภาพดีจากจีนที่ต้องจับตามองโดยมีชื่อสินค้าที่ว่า “Mi Band” ด้วยสัดส่วนทางการตลาดถึง 24.6% และจากการคาดการณ์ของ บริษัทวิจัย IDC แห่งสหรัฐฯ Fibit ได้รับการคาดการณ์ว่าถือครองสัดส่วนทางการตลาดนี้อยู่ที่ 34.2% หรือ 11.4 ล้านชิ้นจากยอดขายในไตรมาสแรกของปี 2015