กองทุน Disrupt Health Impact Fund ที่เปิดตัวเมื่อพฤษภาคม 2567 ที่ผ่านมา ปิดดีลเข้าลงทุนในบริษัท “DiaMonTech” สตาร์ทอัพ DeepTech สัญชาติเยอรมัน ผู้คิดค้นและเป็นเจ้าของหลายสิทธิบัตรนวัตกรรมการตรวจวัดระดับกลูโคสในร่างกาย โดยไม่ต้องเจาะเลือด เผยอยู่ระหว่างหาโอกาสเข้าลงทุนบริษัท DeepTech เพิ่มเติมให้ครบ 15 บริษัทภายใน 3 – 5 ปี ตามแผน
นายกระทิง พูนผล ประธานกองทุน Disrupt Health Impact Fund กองทุน 500 TukTuks และ ORZON Ventures เปิดเผยว่า Healthcare เป็นหนึ่งใน 3 ตัวขับเคลื่อนหลักของเศรษฐกิจโลก เนื่องจากปัจจัยสังคมสูงวัยที่แนวโน้มอายุขัยเฉลี่ยพลเมืองโลกที่มีอายุยืนขึ้น รวมถึงเกิดเทคโนโลยีเปลี่ยนโลก ที่นำไปสู่การพลิกโฉมทางการแพทย์

ขณะเดียวกันยังได้ผลดีจากตลาดการดูแลตัวเอง หรือ Self-care ซึ่งทั้งภาครัฐและผู้บริโภคต่างหันมาใส่ใจการดูแลสุขภาพมากขึ้น ส่งผลตลาด Self-care medical device ในปี 2575 จะขยายตัวสู่ 42,600 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 1.44 ล้านล้านบาท (จากปี 2566 ที่อยู่ราว 24,400 ล้านเหรียญสหรัฐ)
ทั้งนี้ การลงทุนใน DiaMonTech จึงเป็นโอกาสสร้างการเติบโตในอุตสาหกรรม Healthcare เพราะการตรวจวัดค่าน้ำตาลเป็นปัญหาสำคัญ เป็นที่ต้องการมากในตลาด และมีมูลค่าตลาดรวมขนาดใหญ่ ครอบคลุมทั้งผู้ป่วยและกลุ่มคนทั่วไป ที่สำคัญคือเป็นโซลูชันที่สามารถขยายไปได้ทั่วโลก

นางสาวจันทนารักษ์ ถือแก้ว กรรมการผู้จัดการ ดิสรัปท์ เทคโนโลยี เวนเจอร์ หรือ Disrupt และผู้บริหารกองทุน Disrupt Health Impact Fund กล่าวว่า “เรายินดีเป็นอย่างยิ่งกับโอกาสในการเข้าลงทุนกับ “DiaMonTech” สตาร์ทอัพ DeepTech สัญชาติเยอรมัน ผู้คิดค้นและเป็นเจ้าของสิทธิบัตรนวัตกรรมการตรวจวัดระดับกลูโคสในร่างกายโดยไม่ต้องเจาะเลือด เพียงวางนิ้วมือบนเครื่อง 30 วินาทีก็สามารถวัดค่าได้ ทำให้วัดค่าได้บ่อยและสะดวกกว่าการเจาะเลือด ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างยิ่งกับผู้ที่ต้องการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด โดยเฉพาะกลุ่มผู้ป่วยเบาหวานกว่า 530 ล้านรายทั่วโลก”
อย่างไรก็ตาม เบาหวานเป็นโรคเรื้อรังที่ใช้เวลานานในการรักษา และอาจนำไปสู่โรคแทรกซ้อนอื่น ๆ ได้ ในประเทศไทยมีผู้เป็นเบาหวานมากถึง 5.2 ล้านคน หรือ 1 ใน 11 คน และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น แต่เชื่อว่าเทคโนโลยีของ DiaMonTech จะช่วยให้การ self-care เป็นเรื่องที่ทำได้ง่ายในชีวิตประจำวันมากขึ้น และยังได้ข้อมูลที่จะช่วยให้แพทย์สามารถติดตามอาการได้ดีขึ้น ซึ่งจะสร้างผลกระทบเชิงบวกอย่างมากต่อชีวิตผู้คน ทั้งกลุ่มผู้ป่วย และกลุ่มคนทั่วไปในการป้องกันไม่ให้ป่วยเป็นเบาหวาน

นางสาวณรัณภัสสร์ ฐิติพัทธกุล ผู้บริหารกองทุน Disrupt Health Impact Fund กล่าวว่า ทางกองทุน Disrupt Health Impact Fund เฟ้นหาสตาร์ทอัพทั่วโลกมากกว่า 1,000 ราย และคัดเลือกเพียง 97 รายที่ตรงกับเกณฑ์ ก่อนคัดกรองเหลือเพียง 49 รายและนำไปวิเคราะห์ศึกษาข้อมูลเพื่อนำเสนอต่อคณะกรรมการลงทุน ซึ่งมี DiaMonTech เพียงรายเดียวที่ได้รับการสนับสนุนจากเสียงส่วนมากของทั้งผู้บริหารกองทุน ผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์จากทางเครือโรงพยาบาลสมิติเวช และคณะที่ปรึกษาด้านการแพทย์และวิศวกรรมจากทางมหาวิทยาลัยมหิดล
“เหตุผลหลักที่เลือกลงทุนกับ DiaMonTech คือเทคโนโลยีที่มีความซับซ้อนและเลียนแบบยาก เจ้าของสิทธิบัตรพัฒนามาจากงานวิจัยกว่า 10 ปีของศาสตราจารย์ที่มหาวิทยาลัยเกอเธ่ จากการศึกษาตลาดเครื่องวัดกลูโคสทั่วโลก พบว่าหลายบริษัทได้พยายามคิดค้นวิธีการวัดระดับกลูโคสในร่างกายแบบไม่ต้องเจาะเลือด ซึ่งสามารถทำได้หลายวิธี ความท้าทายหลักก็คือความในการตรวจวัดที่แม่นยำเทียบเท่ากับการเจาะเลือด วิธีการของ DiaMonTech มีความน่าเชื่อถือเพราะเป็นการวิจัยแบบการศึกษาไปข้างหน้า หรือ prospective study และผลวิจับยังได้รับการตีพิมพ์ลงในวารสารวิชาการระดับโลกอีกด้วย ทำให้เรามั่นใจว่าการสนับสนุน DiaMonTech จะช่วยสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อการดูแลสุขภาพของประชาชน และเป็นการลงทุนที่มีโอกาสเติบโตสูง” นางสาวณรัณภัสสร์ กล่าว

นายธอร์สเทน ลูบินสกี ผู้ร่วมก่อตั้งและผู้บริหาร DiaMonTech กล่าวว่า เครื่องวัดระดับกลูโคสในร่างกายโดยไม่ต้องเจาะเลือด หรือ D-pocket ขณะนี้กำลังอยู่ช่วงขอการรับรองจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (FDA) ก่อนนำออกสู่ตลาด การได้รับเงินลงทุนและความร่วมมือจากกองทุน Disrupt Health Impact Fund เชื่อว่าจะช่วยให้ DiaMonTech สามารถนำนวัตกรรมดังกล่าวเข้าไปถึงผู้คนได้มากขึ้นและเร็วขึ้น รวมถึงมีเครือข่ายที่มีความเชี่ยวชาญทางด้าน Healthcare ทั้งจากภาครัฐและเอกชนในไทยและในภูมิภาค
กองทุน Disrupt Health Impact Fund มีเป้าหมายลงทุนระยะแรกราว 17 – 50 ล้านบาทต่อ 1 บริษัท โดยในช่วง 3 – 5 ปีจากนี้ มีแผนลงทุนใน 15 บริษัท DeepTech ด้าน Healthcare ทั้งในไทยและต่างประเทศ ด้วยนโยบายลงทุน 5 ด้าน คือ
- การดูแลสุขภาพด้วยตนเอง (Self Care)
- เวชศาสตร์ป้องกันโรค (Preventive Care)
- ผู้สูงวัย (Silver Age)
- การดูแลสุขภาพแบบองค์รวม (Holistic Wellness)
- โรงพยาบาลอัจฉริยะ (Smart Hospital)
ทั้งนี้ กองทุนฯ จะเฟ้นหานวัตกรรมระดับโลกในระยะออกสู่ตลาดแล้ว (Commercialized) หรืออยู่ระหว่างการวิจัยในคน (Clinical Trial) เพื่อขอการรับรองจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (FDA) ในด้านของนักลงทุน ปัจจุบันกองทุนมีนักลงทุนรวม 7 ราย เพิ่มขึ้นจากเดิม 3 รายซึ่งเป็นนักลงทุนส่วนบุคคลที่สนใจธุรกิจ Health & Wellness ที่ต้องการร่วมกันต่อยอดโอกาสทางธุรกิจและเพิ่มโอกาสในการลงทุนตรงในบริษัทที่มีศักยภาพ
ภาพ: Disrupt
เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : ซัมซุงเปิดตัว Galaxy Ring ในไทยแล้ว แหวนอัจฉริยะติดตามสุขภาพ ราคา 14,900 บาท
ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine