นอกจากเสียงวิพากษ์วิจารณ์เรื่องความไม่เสถียรของราคา และการนำไปใช้ในธุรกรรมผิดกฎหมาย บิตคอยน์ยังปลุกประเด็นทางสังคมในแง่ของการบริโภค พลังงานไฟฟ้า อย่างมหาศาล
แปลและเรียบเรียงจาก Bitcoin Devours More Electricity Than Switzerland เขียนโดย Niall McCarthy นักข่าวเชิงข้อมูลจาก forbes.comมหาวิทยาลัย Cambridge เผยแพร่ดัชนี Cambridge Bitcoin Electricity Consumption Index ซึ่งนำการใช้ พลังงานไฟฟ้า ของเครือข่ายสกุลเงินคริปโตนี้ไปเปรียบเทียบกับการใช้พลังงานไฟฟ้าระดับประเทศทั่วโลก
การศึกษานี้พบว่า บิตคอยน์ใช้พลังงานไฟฟ้าประมาณ 61.76 เทราวัตต์ชั่วโมง (TWh) ต่อปี ซึ่งมากกว่าการใช้ไฟฟ้าของประเทศจำนวนมาก และคิดเป็นสัดส่วน 0.28% ของการใช้พลังงานไฟฟ้าทั้งโลก
หากว่าบิตคอยน์เป็นประเทศประเทศหนึ่ง เมื่อเปรียบเทียบการใช้ไฟฟ้าของประเทศต่างๆ ที่ใช้ไฟฟ้าปริมาณใกล้เคียงกัน ยกตัวอย่าง สาธารณรัฐเช็ก ใช้ไฟฟ้า 62.34 TWh ซึ่งมากกว่าเครือข่ายบิตคอยน์เพียงเล็กน้อย และบิตคอยน์ยังใช้ไฟฟ้ามากกว่าประเทศสวิตเซอร์แลนด์ที่มีการใช้ไฟฟ้า 58.46 TWh เป็นประเทศที่ใช้ไฟฟ้ามากอันดับที่ 41 ของโลก (ประเทศไทยใช้ไฟฟ้า 187.7 TWh เป็นอันดับ 22 ของโลก)
มหาวิทยาลัย Cambridge ยังประมวลข้อมูลให้ด้วยว่า พลังงานไฟฟ้าที่ระบบบิตคอยน์ใช้สามารถต้มน้ำในกาน้ำของพลเมืองอังกฤษไปได้ถึง 14 ปี หรือทั้งสหภาพยุโรป (ที่ยังรวมอังกฤษอยู่) ได้นาน 2.1 ปี ในทางกลับกัน ถ้านำพลังงานไฟฟ้าจากเครื่องใช้ในบ้านของชาวอเมริกันทั้งหมดที่เปิดเครื่องทิ้งไว้แต่ไม่ได้ใช้ มาเป็นแหล่งพลังงานให้บิตคอยน์ ก็จะสามารถเลี้ยงระบบนี้ไปได้นานถึง 3.5 ปีเลยทีเดียว
สกุลเงินบิตคอยน์ต้องการพลังงานมหาศาลเพราะระบบนี้ต้องการเครือข่ายระบบคอมพิวเตอร์ในการ ‘ขุด’ บิตคอยน์ ซึ่งก็คือการนำระบบคอมพิวเตอร์มาตรวจสอบความถูกต้องของการโอนเงินนั่นเอง
เพื่อแก้ปัญหาการใช้พลังงานไฟฟ้าสูงและปัญหาบิลค่าไฟที่จะติดตามมา เหล่านักขุดบิตคอยน์หลายรายจึงย้ายสถานที่ทำการของตัวเองไปในประเทศที่เหมาะสมกว่า เช่น ไอซ์แลนด์ ซึ่งผลิตไฟฟ้าจากพลังงานความร้อนใต้พิภพทำให้มีไฟฟ้าราคาถูกใช้งาน และยังมีสภาพภูมิอากาศหนาวเย็นจากลมทะเลอาร์กติกซึ่งช่วยลดความร้อนของเครื่องคอมพิวเตอร์
อ่านเพิ่มเติม