พชร อารยะการกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บูลบิค ประกาศเข้าซื้อกิจการ ทีมพัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศและแอปพลิเคชัน จาก MFEC และ Innoviz Solutions พร้อมปูทางสู่การเป็น Tech Company และ Venture Builder ระดับสากล
![](https://forbesthailand.com/wp-content/uploads/2022/12/RBUMWHXFhifmag5Nq6Ek.jpg)
พชร อารยะการกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บลูบิค กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ BBIK เปิดเผยว่า การเข้าซื้อหน่วยธุรกิจ Digital Delivery ของ MFEC เป็นการเพิ่มขีดความสามารถการรองรับงานบริการให้คำปรึกษาและพัฒนาเทคโนโลยี (Digital Excellence & Delivery หรือ DX) ซึ่งเป็นหน่วยงานหลักที่สร้างรายได้ให้กับบลูบิค และยังเป็นการต่อยอดทางธุรกิจในอนาคตผ่านการ Synergy ร่วมกันกับทาง MFEC อีกด้วย
รวมทั้งช่วยเรื่องการประหยัดต้นทุนในการบริหารงานจาก Economy of Scale ซึ่งหลังจากกระบวนการควบรวมกิจการเสร็จสิ้น จะมีผลให้ทีมงานนักพัฒนาเทคโนโลยีและแอปพลิเคชันของกลุ่มบริษัทฯ เพิ่มมากขึ้นถึง 500 คน สามารถรองรับความต้องการในการทำดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชันของภาคธุรกิจทั้งในประเทศและต่างประเทศได้ครอบคลุมมากยิ่งขึ้น
“เราจะเป็นทีม DX ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทยหลังจากการเข้าซื้อกิจการของ MFEC กับ Innoviz” พชร กล่าว
การตัดสินเข้าไปซื้อกิจการของทั้งสองแห่งเพราะเราเห็นถึงพลังยุคดิจิทัลทรานฯ เราเห็นโอกาส จึงเป็นที่มาของการร่วมมือกับสองบริษัท การร่วมของทั้งสองทีมทำให้มีทีมงานให้กับลูกค้าขนาดใหญ่
“โครงการทำงานจะมีการบริหารการจัดการที่เป็นอิสระ เป็นการหาความร่วมมือที่ทำให้ทั้งสองบริษัทเกิดการเติบโตและต้องบริหารจัดการร่วมกัน โดยภาพตรงนี้จะเป็นอิสระในการทำงาน”
ด้าน ศิริวัฒน์ วงศ์จารุกร ซีอีโอ MFEC กล่าวว่าการเข้ามาร่วมมือครั้งนี้เพราะการทำธุรกิจได้เปลี่ยนไปการให้บริการที่เกี่ยวกับ Software ต้องให้บริการด้านที่ปรึกษาทางธุรกิจซึ่งจะมีความสำคัญในการสร้างกำไรเพราะเราอยู่ในการสถานการณ์การแข่งขัน แต่บริษัทคนไทยไม่สามารถสเกลตัวเองไปสู่จุดนั้นได้ การร่วมมือกันระหว่างสองบริษัททำให้เราสามารถขยายขอบเขตการให้บริการ win win ระหว่างสองบริษัทและสามารถแข่งขันกับบริษัทข้ามชาติได้
ด้านกระบวนการควบรวมกิจการของ Innoviz จะแบ่งการชำระค่าหุ้นออกเป็น 3 งวด งวดแรกจะเริ่มต้นในไตรมาส 1 ปี 2566 และจะเสร็จสมบูรณ์ในปี 2568 โดยบลูบิคจะเข้าซื้อหุ้นจากผู้ถือหุ้นเดิมทั้งหมดด้วยเงินสด
“การขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่องของบลูบิคนั้นเป็นไปตามแผนการลงทุนที่บริษัทฯ ได้วางไว้ เพื่อรองรับกระแสการทำดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชันและความต้องการนำเทคโนโลยีใหม่ๆ มาใช้สร้างข้อได้เปรียบในภาคธุรกิจที่ยังคงแรงต่อเนื่อง จากปัจจัยบวกเหล่านี้ทำให้เห็นถึงโอกาสการเติบโตของอุตสาหกรรมเทคโนโลยี ที่ได้สะท้อนผ่านผลประกอบของบริษัทฯ ที่สามารถทำนิวไฮในหลายไตรมาสติดต่อกัน
ดังนั้นการเข้าซื้อกิจการของทั้ง 2 บริษัท จะทำให้การเติบโตนับจากนี้ของ บลูบิค โดยเฉพาะในปี 2566 เป็นไปอย่างน่าจับตามอง จากผลพวงของจำนวนผู้เชี่ยวชาญด้านไอทีที่เพิ่มขึ้นมากกว่าเท่าตัวตามแผนยุทธศาสตร์ 3 ปี เป็นการตอกย้ำความเป็น Tech Company ที่มุ่งเน้นการเป็น Venture Builder ระดับสากล” พชรและกล่าวเพิ่มเติมว่า
“โลกเปลี่ยนค่อนข้างเยอะกลุ่ม gen z ที่บอกว่าเป็นลูกค้าในอนาคต ตอนนี้พวกเขาเรียนจบ เริ่มทำงานและเป็นลูกค้าเพราะฉะนั้นการทำธุรกิจคือมุ่งไปบนถนนเส้นเดียวกันคือการเป็น digital first company”
อ่านเพิ่มเติม: ชูเฮย์ อาราอิ เอ็มดีใหม่ชาร์ปไทย รุกหนักสินค้าบิสิเนส โซลูชัน
ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine