ทีมดี มีชัยไปกว่าครึ่ง! เมื่อทีมเวิร์คคือหัวใจของสตาร์ทอัพ ถอดบทเรียนจากซีรีส์ดัง “สงครามส่งด่วน” - Forbes Thailand

ทีมดี มีชัยไปกว่าครึ่ง! เมื่อทีมเวิร์คคือหัวใจของสตาร์ทอัพ ถอดบทเรียนจากซีรีส์ดัง “สงครามส่งด่วน”

เคยได้ยินไหม “เก่งคนเดียว บางครั้งไม่ได้ทำให้องค์กรไปได้ บริษัทจะไปได้ไกล ถ้ามีทีมเวิร์คที่ดี” โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับธุรกิจสตาร์ทอัพ ที่อาจกล่าวได้ว่าสิ่งที่ยากที่สุดในการเติบโตของสตาร์ทอัพไม่ใช่การกำหนดกลยุทธ์การตลาดหรือการระดมทุน แต่เป็นการสร้างทีมที่เหมาะสม ดังเช่นตัวอย่างบริษัทสตาร์ทอัพ Thunder Express ในซีรีส์ที่กำลังเป็นที่พูดถึงตอนนี้อย่าง “Mad Unicorn สงครามส่งด่วน” ซึ่ง Forbes Thailand ขอชวนผู้อ่านถอดบทเรียนความสำเร็จส่วนหนึ่งที่อาจเริ่มจากการมี ‘ทีม’ ที่ดี


*บทความนี้มีการเปิดเผยเนื้อหาของซีรีส์บางส่วน


    “จะเริ่มทำสตาร์ทอัพ ต้องมีไอเดียดีๆ ก่อนใช่ไหม?” “ต้องหานักลงทุนให้ได้?” “ต้องรู้เรื่องเทคโนโลยีแบบขั้นเทพหรือเปล่า?” ใช่ทั้งหมดนั่นแหละ - แต่ยังไม่ใช่คำตอบสำคัญที่สุด

    เพราะในโลกจริงของคนเริ่มต้นธุรกิจ สิ่งที่เปลี่ยนไอเดียให้กลายเป็นบริษัท เปลี่ยนความฝันให้กลายเป็นของจริง ไม่ใช่แค่ ‘สิ่งที่ทำ’ แต่คือ ‘คนที่ทำด้วยกัน’ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับธุรกิจสตาร์ทอัพที่ช่วงเริ่มต้นธุรกิจมักต้องอยู่ในสภาพแวดล้อมสุดหินและทดสอบใจ ทั้งทุนน้อย ทรัพยากรจำกัด และมีความไม่แน่นอนสูง

    การมีทีมที่ดีและพร้อมจะฝ่าฟันไปด้วยกันในสภาพแวดล้อมแบบนั้น จึงมีบทบาทสำคัญมากๆ ที่จะช่วยให้เกิดการสร้างสรรค์นวัตกรรม ทำให้เกิดประสิทธิภาพ ปรับตัวได้และพร้อมลุกขึ้นยืนใหม่ไม่ว่าจะล้มสักกี่ครั้ง

    ใครที่เคยเริ่มต้นอะไรสักอย่างด้วยตัวคนเดียว จะเข้าใจดีว่า แค่มีเพื่อนร่วมทีมที่เข้าใจสิ่งเดียวกัน และสู้ไปในทางเดียวกัน ก็เหมือนมีพลังเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัว มันไม่ใช่แค่เรื่องของจำนวนคน แต่มันคือแรงผลักดันที่ขับเคลื่อนความเชื่อและความกล้าหาญให้เดินหน้าต่อไปได้ แม้ในวันที่ทุกอย่างไม่แน่นอน


ทีมของ สันติ แซ่ลี ในสงครามส่งด่วน: ตัวอย่างของ “ทีมที่ใช่”

    นาทีนี้ซีรีส์ที่ไม่พูดถึงไม่ได้เลยคือเรื่อง “สงครามส่งด่วน” (ซีรีส์ออริจินัลจาก Netflix) ที่ตัวละครอย่าง “สันติ แซ่ลี” แม้จะมีวิสัยทัศน์ บ้าพลัง และกล้าได้กล้าเสียที่สุดในทีม แต่ก็ยังไม่เพียงพอที่จะทำให้ธุรกิจไปได้ ถ้าไม่มีทีมที่เติมเต็มในมุมที่เขาขาด โชคดีที่เขามีสองผู้ร่วมก่อตั้งคนสำคัญอย่าง “รุ่ยเจี๋ย” และ “เสี่ยวหยู” ที่นำพาให้เขาผ่านปัญหาในหลายสถานการณ์ได้

    รุ่ยเจี๋ย - มือเทคฯ ระดับเทพ นักวางแผนหัวไว ผู้มีไหวพริบในการวิเคราะห์สถานการณ์เฉพาะหน้า แม้จะติดนิสัยพูดหยาบคาย แต่ก็รู้ว่าจะใช้จังหวะไหนพูด จังหวะไหนถอย และสามารถวางแผนระยะยาวได้แม้สถานการณ์จะไม่ชัดเจน เขาเป็นคนที่ยึดหลักเหตุผลไว้ท่ามกลางความดราม่าของทีม และภายใต้เปลือกนอกที่ดูแข็งกระด้าง เขาคือคนที่มีหัวใจนึกถึงเพื่อนร่วมงานและลูกน้องเสมอ

    เสี่ยวหยู - ผู้รับบทเป็น 'ผ้าเบรก' ของบริษัท เธอไม่ได้เพียงแค่ช่วยรั้งสันติไว้เมื่อวิสัยทัศน์เริ่มล้นขอบ และมองหลังบ้านธุรกิจอย่างรอบคอบ ความนิ่งของเธอไม่ได้แปลว่าเฉยชา แต่คือสัญญาณของการคิด วิเคราะห์ และรอจังหวะที่ใช่เพื่อออกแรง เรียกได้ว่าเธอคือสมดุลสำคัญในทีมที่เร่งเดินหน้าเร็วเกินไป

    ทั้งสามคนต่างกันโดยสิ้นเชิง แต่กลับเติมเต็มกันได้อย่างประหลาด ไม่ว่าจะเจออุปสรรคแค่ไหน คำว่า “ไปต่อ” ไม่เคยหายไปจากทีมนี้เลย


    บทเรียนจากสันติคือ บางที... คุณค่าของทีมเวิร์คไม่ได้อยู่ที่การมีแต่คนเก่ง แต่อยู่ที่การมีคนที่ช่วยกันดึงขึ้นมาในวันที่ไม่ไหว และไม่หายไปในวันที่เจอเรื่องหนักๆ เพราะคนเก่งจากองค์กรใหญ่ อาจไม่ใช่คำตอบของสตาร์ทอัพ

    James Clift ผู้ก่อตั้ง Durable หนึ่งในบริษัทสตาร์ทอัพที่เติบโตเร็วในสหรัฐอเมริกา เคยบอกไว้ว่า ปัญหาที่ยากที่สุดของการสร้างสตาร์ทอัพ ไม่ใช่การทำตลาด ไม่ใช่การหาทุน แต่คือ “การสร้างทีมเวิร์ค”

    ในโลกของสตาร์ทอัพที่ต้องการความเร็ว การเรียนรู้ไว และการกล้าลอง คนจากองค์กรใหญ่ที่ชินกับระบบและกระบวนการอาจไม่ใช่คำตอบเสมอไป Clift เองเคยรับคนจากบริษัทยักษ์ใหญ่ใน Silicon Valley มาร่วมทีม แต่พบว่าความเร็วและความยืดหยุ่นคือสิ่งที่ขาดหายไป จนต้องเปลี่ยนวิธีคิดใหม่

    เขาหันมามองหาคนที่มีความกระหายจะเติบโต สนุกกับการทำงานร่วมกับคนอื่น และมีพลังงานบวกที่ส่งต่อให้ทีมได้ เพราะสุดท้ายแล้ว สิ่งที่สำคัญไม่ใช่ชื่อบริษัทในเรซูเม่ แต่คือคำถามที่ว่า “พร้อมจะโตไปด้วยกันไหม?”

    และแม้การมีคนเก่งจะช่วยย่นเวลาในการทำงานหลายอย่างได้ แต่สิ่งที่ช่วยย่นระยะทางสู่ความสำเร็จคือ “คนที่เชื่อมั่นในเป้าหมายร่วมกัน” คนที่ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ และพร้อมเรียนรู้ไปพร้อมกันทุกวัน


ทีมเวิร์คไม่ใช่ของแถม - มันคือ “เครื่องยนต์หลัก” ของสตาร์ทอัพ

    ทีมเวิร์คไม่ใช่ของแถม แต่มันคือเครื่องยนต์หลักของสตาร์ทอัพ โดยเฉพาะในโลกที่ไม่แน่นอน งบจำกัด และเวลาเร่งเร้า ทีมที่สื่อสารกันรู้เรื่อง เติมเต็มกันได้ และมองไปทางเดียวกัน จึงเป็นสิ่งที่ทำให้สตาร์ทอัพมีโอกาสไปถึงเส้นชัยได้จริง

    องค์ประกอบของทีมที่เวิร์คของสตาร์ทอัพจึงไม่ได้ซับซ้อน แต่มีคุณสมบัติดังต่อไปนี้

    1.มีทักษะที่หลากหลาย แต่เป้าหมายเดียวกัน: โดยทั่วไปแล้วสตาร์ทอัพจะประกอบด้วยทีมงานขนาดเล็กที่แต่ละคนมีหน้าที่หลายอย่าง การทำงานเป็นทีมที่มีประสิทธิภาพจะใช้ประโยชน์จากทักษะที่หลากหลายของสมาชิกในทีม เพื่อให้แน่ใจว่าครอบคลุมด้านต่างๆ ของธุรกิจ ตั้งแต่การพัฒนาผลิตภัณฑ์และการตลาด ไปจนถึงการเงินและการบริการลูกค้า

    2.ระดมไอเดียโดยไม่ชนกันจนตาย ฟังกันเป็น: ทีมงานที่ทำงานร่วมกันจะนำมุมมองและประสบการณ์ที่หลากหลายมารวมกัน เพื่อเพิ่มความสามารถในการแก้ปัญหา เมื่อสมาชิกในทีมระดมความคิดและหารือเกี่ยวกับแนวคิดร่วมกัน พวกเขาสามารถระบุวิธีแก้ปัญหาใหม่ๆ ที่อาจไม่สามารถเกิดขึ้นได้หากแยกจากกัน

    3.แบ่งเบาภาระในวันที่ใครสักคนไม่ไหว: การทำงานเป็นทีมช่วยส่งเสริมให้เกิดความรู้สึกถึงความรับผิดชอบร่วมกัน เมื่อทุกคนทำงานเพื่อบรรลุเป้าหมายร่วมกัน งานต่างๆ ก็จะเสร็จสิ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น และภาระงานก็จะได้รับความสมดุลมากขึ้น ประสิทธิภาพนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับบริษัทสตาร์ทอัพที่ต้องการใช้ทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัดให้เกิดประโยชน์สูงสุด

    4.มีจังหวะชีวิตร่วมกัน สนุกได้ ไม่ใช่แค่ทำงานให้เสร็จ: วัฒนธรรมทีมที่แข็งแกร่งช่วยส่งเสริมขวัญกำลังใจและแรงจูงใจ เมื่อพนักงานรู้สึกได้รับการสนับสนุนและมีคุณค่าจากเพื่อนร่วมทีม พวกเขาก็มีแนวโน้มที่จะมีส่วนร่วมและมุ่งมั่นเพื่อความสำเร็จของบริษัทสตาร์ทอัพมากขึ้น สภาพแวดล้อมการทำงานเชิงบวกนี้ยังช่วยลดการลาออกและดึงดูดบุคลากรที่มีความสามารถสูงได้อีกด้วย

    5.กล้าลอง กล้าพลาด กล้าเรียนรู้ โดยไม่กลัวล้ม: สตาร์ทอัพต้องคล่องตัวและปรับตัวได้จึงจะเติบโตได้ ทีมงานที่มีความเหนียวแน่น ต้องสามารถปรับเปลี่ยนและตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงในตลาดหรือสภาพแวดล้อมทางธุรกิจได้อย่างรวดเร็ว แน่นอนว่าการสื่อสารและการทำงานร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพ จะทำให้ทีมงานสามารถนำกลยุทธ์และโซลูชันใหม่ๆ มาใช้ได้อย่างรวดเร็ว


    ฟังดูเหมือนพื้นฐานทั่วไป แต่ความจริงคือสิ่งเหล่านี้ต้องอาศัยความตั้งใจและการลงมือทำอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะเมื่อทีมเติบโตและเริ่มมีความหลากหลายมากขึ้น ทั้งทางความคิด ประสบการณ์ และเป้าหมายส่วนตัว การรักษาใจกลางของทีมให้ยังเป็นหนึ่งเดียวจึงยากยิ่งกว่า

    แล้วจะสร้างทีมแบบนั้นได้ยังไง?

    คำตอบอาจเริ่มจากความตั้งใจธรรมดาแต่สม่ำเสมอ เหมือนอย่างที่ Clift ทำกับทีม Durable หลังจากทีมบรรลุเป้าหมาย เขาชวนทุกคนไปฉลองมื้อเย็น พร้อมเงื่อนไขว่า ต้องโพสต์รูปอาหารลง Slack

    ฟังดูเหมือนเรื่องเล็กน้อย แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือ ทีมได้หยุดเพื่อเห็นคุณค่าความสำเร็จของตัวเอง ทุกคนได้สนุกไปด้วยกัน แม้จะทำงานคนละสาย และที่สำคัญ คือได้เชื่อมโยงกันในฐานะมนุษย์ ไม่ใช่แค่เพื่อนร่วมงาน

    ถ้าไม่มีงบจัดมื้อหรู? Clift บอกว่าแค่มีเวลาที่ไม่ได้คุยเรื่องงานก็พอ บริษัทของเขามี Zoom แฮงเอาต์ประจำสัปดาห์ เล่นเกม คุยชีวิต หรือแม้แต่จัด Hack Week ให้ทีมได้ลองทำโปรเจกต์นอกเหนือจากงานประจำ ไม่ต้องเป๊ะ ไม่ต้องแพง ขอแค่ให้มีช่วงเวลาที่ได้ “เป็นทีม” จริงๆ

    กิจกรรมเล็กๆ อย่างนี้ช่วยให้แต่ละคนรู้สึกว่าเป็นส่วนหนึ่งของบางสิ่งที่ใหญ่กว่าแค่บทบาทของตัวเอง มันช่วยให้พนักงานกล้าพูด กล้าคิด และกล้าทำโดยไม่ต้องกลัวว่าจะถูกตัดสินจากใครในทีม เพราะรู้ว่าทุกคนอยู่ฝั่งเดียวกัน

    สิ่งเหล่านี้อาจไม่ได้เห็นผลในวันเดียว แต่คือรากฐานที่ทำให้ทีมอยู่ด้วยกันได้นาน และพร้อมลุยไปด้วยกันในวันที่ยากที่สุด


คนเก่งจะไปไว - แต่ทีมดีจะพาไปได้ไกล

    อย่างที่กล่าวไปตั้งแต่ต้นบทความ เพราะสตาร์ทอัพไม่ใช่สนามวิ่งเดี่ยว แต่มันคือการลุยเข้าไปในพื้นที่ที่ยังไม่มีแผนที่ วันหนึ่งอาจเจอแดด อีกวันเจอพายุ ไม่มีใครรู้ว่าเส้นชัยอยู่ตรงไหน และสิ่งเดียวที่แน่ใจได้ก็คือ คนที่อยู่ข้างๆ ตอนเราเริ่มไม่แน่ใจ คือคนที่จะพาเราไปได้ไกลกว่าเดิม

    เหมือนกับที่สันติมีรุ่ยเจี๋ยและเสี่ยวหยูในทีม - ไม่ต้องสมบูรณ์แบบ แต่ต้องไม่ทิ้งกันกลางทาง และนั่นแหละ…คือทีมที่ใช่


ภาพ: Netflix



อ้างอิง:

    - Building Your Business? Build Your Team First

    - The Power of Teamwork in Startups: Building Success Together



เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : ‘AI-การเป็นผู้นำ-ทีมเวิร์ค’ ทักษะสำคัญในโลกการทำงานยุคใหม่ ที่พนักงานทุกองค์กรจำเป็นต้องมี

ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine