ยางมิชลิน ยกไทยเป็นตลาดใหญ่จากการปักหมุดโรงงานการผลิตถึง 5 แห่งทั่วประเทศให้เป็นฐานการผลิตส่งออกที่สำคัญในเอเชีย ไม่หวั่นเทรนด์ยานยนต์ไฟฟ้าจีนรุกหนัก ชูนวัตกรรมพรีเมี่ยมเข้าสู้!
มิชลิน ผู้ผลิตยางรถยนต์รายใหญ่ของโลกและผู้นำระดับโลกด้านการผลิตวัสดุคอมโพสิต ยังคงเดินหน้าผลักดันขีดจำกัดของนวัตกรรมอย่างต่อเนื่อง โดยสะท้อนการเปลี่ยนผ่านเวทีเวิร์กช็อป สู่การเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านโซลูชันวัสดุคอมโพสิตที่ครอบคลุมหลากหลายอุตสาหกรรม ทั้งการเดินทาง การดูแลสุขภาพ การบินและอวกาศ ไปจนถึงพลังงานคาร์บอนต่ำ
ปอล แปร์รีนีโย (Paul Perriniaux) รองประธานฝ่ายขายกลุ่มธุรกิจลูกค้าทั่วไป (B2C) ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกของมิชลิน กล่าวว่า "ประเทศไทยเป็นฐานยุทธศาสตร์สำคัญในเอเชียแปซิฟิก ทั้งในด้านการผลิต การส่งออก ขณะเดียวกันไทยถือเป็นหนึ่งในตลาดสำคัญของมิชลินในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ด้วยความแข็งแกร่งของอุตสาหกรรมยานยนต์และโครงสร้างพื้นฐานที่พร้อมสำหรับการผลิตและส่งออก โดยมิชลินมีพนักงานกว่า 8,000 คน ใน 5 โรงงานทั่วประเทศ ครอบคลุมทั้งการผลิตยางสำหรับรถยนต์นั่ง รถบรรทุก และเครื่องบิน
“ปัจจุบันไทยมี 5 โรงงาน ทั้งหนองแค แหลมฉบัง พระประแดง ระยอง และหาดใหญ่ที่มียางธรรมชาติอยู่เยอะมากๆ เช่น พอลิเมอร์ซึ่งใช้ในโรงงานเหมือง การโฟกัสหลักๆตอนนี้อยู่ที่ว่าจะพัฒนาโรงงาน นวัตกรรม ลดปริมาณคาร์บอนฟุตพริ้นท์ รวมถึงสวัสดิภาพของคนในโรงงานให้ดียิ่งขึ้นได้อย่างไรมากกว่า” แปร์รีนีโย กล่าว

"การสร้างโรงงานไม่ได้มองในระยะสั้น แต่วางแผนให้อยู่ยาวนานถึง 20-60 ปี โดยมีโจทย์สำคัญคือทำอย่างไรให้โรงงานดีขึ้นในทุกๆวัน และเป้าหมายใหญ่ที่ใหญ่กว่าก็คือ การทำให้การแข่งขันเกิดขึ้น อย่างไรก็ตาม บริษัทมิชลินยังมีสิ่งที่ต้องพิจารณาอีก 2 ปัจจัย คือผลิตให้ใกล้ตัวลูกค้ามากที่สุดทั้งในระดับท้องถิ่น ซึ่ง 70 % ที่ผลิตนั้นต้องอยู่ในไทม์โซนเดียวกันของตลาด เช่นเดียวกับประเทศไทย เพื่อสอดรับการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาของตลาด
“เทรนด์ที่เห็นอีกอย่างคือ พฤติกรรมของผู้บริโภคที่มีการซื้อทางออนไลน์ ยางรถก็ซื้อในออนไลน์แล้ว ดังนั้นเราก็พยายามทำให้มีเส้นทางในการซื้อแบบไร้รอยต่อ ตั้งแต่การกดซื้อจนกระทั่งเอายางรถไปต่อกับตัวรถด้วย” แปร์รีนีโย กล่าว
ซีริลล์ โรเฌต์ (Cyrille Roget) ผู้อำนวยการฝ่ายนวัตกรรมและการสื่อสารเชิงวิทยาศาสตร์ของมิชลิน ยอมรับการรุกตลาดอีวีของจีนเป็นสิ่งที่ห้ามไม่ได้ เนื่องจากสินค้าจีนมีอยู่ทั่วโลก ซึ่งมิชลินได้ร่วมมือกับทางรัฐบาลจีนเพื่อมุ่งสู่ตลาดจีนด้วยเช่นกัน
“การทดสอบพรีเมียมแบรนด์เทียบกับคู่แข่งจากจีน ในด้าน Performance ยังอยู่ไกลสำหรับผู้บริโภค ดังนั้นในอนาคตจีนจะเติบโตขึ้น แต่ในส่วนของตลาดรถยนต์ช่วง 15 ปีที่ผ่านมา รถญี่ปุ่นยังครองมาร์เก็ตแชร์ในยุโรป รวมถึงเกาหลี ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงไปตลอด แต่เราก็หวังว่าผู้บริโภคยังรู้สึกว่าสินค้ามีคุณค่า และมีความเชื่อมั่นในแบรนด์ของเรา
"ส่วนกลยุทธ์ต่อไปของมิชลินขณะนี้คือ ต้องการเติบโตในด้านของวัสดุคอมโพซิต ถึง 20-30 % อุปสรรคในปัจจุบันหนีไม่พ้นเรื่องภูมิรัฐศาสตร์ และภาษีนำเข้าที่ยังเป็นประเด็นและอาจกระทบต่อธุรกิจ ถึงแม้ว่าจะมีการใช้วัสดุ 70 % ภายในประเทศ แต่ก็ต้องผลิตให้ใกล้เคียงกับความต้องการของตลาด และพยายามผลิตเองในประเทศให้ได้มากที่สุด" โรเฌต์ กล่าว

มานูเอล ฟาเฟียง (Manuel Fafian) ประธานกลุ่มมิชลินประจําภาคพื้นเอเชียแปซิฟิก ระบุข้อกังวลภาพรวมของตลาดในฐานะซีอีโอว่า มีอยู่ 2 รูปแบบที่อาจทำให้เขานอนไม่หลับในตอนกลางคืน คือการทำให้คนที่อยู่ในความดูแลปลอดภัยได้อย่างไร นับเป็นความท้าทายในช่วงเวลานี้ หากดูผ่านผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ภัยธรรมชาติก็ค่อนข้างกังวล
ข้อที่ 2 คือกังวลในสิ่งที่ไม่รู้มากกว่าสิ่งที่รู้ ทางแก้ไขคือต้องรู้ว่าเรากำลังอยู่ในโลกที่ซับซ้อนขึ้นมากๆ และคาดเดาได้ยากว่าจะเกิดอะไรขึ้น คำตอบเดียวคือ การพัฒนาความสามารถในการฟื้นฟูตัวเอง ให้เตรียมพร้อมเสมอไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น รวมถึงการตื่นตัวทุกครั้งเมื่อใกล้กับสิ่งที่อันตราย

จุดแข็งมิชลินสร้างความโดดเด่นในตลาด
แม้ธุรกิจตลาดยางจะถูกดิสรัปต์จากหลายปัจจัยทั้งสงคราม ภาษี ภูมิรัฐศาสตร์ หรือการรุกของตลาดจีน แต่ทางผู้บริหารเล็งเห็นว่าจุดแข็งของยางมิชลินจะเป็นตัวช่วยสร้างความโดดเด่นและแตกต่าง พร้อมกับโฟกัสในด้านเทคโนโลยีและคุณภาพ
“ลูกค้าต้องการนวัตกรรม ทางเทคโนโลยีที่สูงกว่า พลังงานสูงกว่า สิ่งเหล่านั้นเป็นสิ่งที่ผู้บริโภคตระหนักว่า ยางของมิชลินสร้างความแตกต่างได้จริงๆ มีคนที่เสียชีวิตบนท้องถนน 1.3 แสนคนทุกปี ส่วนในไทยคือ 2.1 หมื่นคน จึงเป็นโอกาสใหญ่ของเราที่จะทำงานร่วมกับพาร์ทเนอร์ในการลดตัวเลขผู้เสียชีวิตบนถนนในประเทศไทย" แปร์รีนีโย กล่าว
เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : ไทยจะใช้ความสัมพันธ์กับจีนสร้างอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์และแบตเตอรี่ได้หรือไม่?
ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine


