“ย้ายประเทศ” ขึ้นเทรนด์ในสหรัฐฯ หลัง Trump ชนะเลือกตั้ง แคนาดาและยุโรปคือจุดหมายยอดนิยม - Forbes Thailand

“ย้ายประเทศ” ขึ้นเทรนด์ในสหรัฐฯ หลัง Trump ชนะเลือกตั้ง แคนาดาและยุโรปคือจุดหมายยอดนิยม

หลัง Donald Trump ประกาศชัยชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในสัปดาห์ที่ผ่านมา ผลการค้นหาลู่ทางและจุดหมายในการย้ายประเทศของชาวอเมริกันก็พุ่งสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์


    แม้จะมีหลายคนพอใจ แต่ผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีคนที่ 47 ของสหรัฐอเมริกาทำให้หลายคนต้องผิดหวัง เมื่อผู้ที่คว้าชัยชนะไปคือ Donald Trump ชาวอเมริกันจำนวนหนึ่งจึงหันมามองหาหนทางย้ายประเทศ ข้อมูลจาก Google เผยว่า การค้นหาที่เกี่ยวข้องกับการ “ย้ายประเทศ” และ “วิธีการย้ายไปยังประเทศ...” เพิ่มสูงขึ้นมหาศาล โดยเฉพาะในรัฐที่ให้การสนับสนุนพรรคเดโมแครต


แคนาดาและยุโรป จุดหมายที่ชาวอเมริกันใฝ่ฝัน

    ภายใน 24 ชั่วโมงหลังทราบผลการเลือกตั้ง การค้นหา “ย้ายไปแคนาดา” บน Google มีจำนวนเพิ่มขึ้นถึง 1,270% ส่วนการค้นหาเกี่ยวกับการย้ายไปนิวซีแลนด์เพิ่มขึ้นเกือบ 2,000% และสำหรับการย้ายไปออสเตรเลียเพิ่มขึ้นราว 820%

    สำหรับแคนาดา สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองของประเทศดังกล่าวเผยว่า เว็บไซต์สำนักงานฯ ต้องประสบกับจำนวนผู้เข้าชมที่เพิ่มขึ้นพร้อมคำถามมากมายหลังการเลือกตั้งสหรัฐฯ ซึ่งมาจากชาวอเมริกัน โดยคาดว่าที่ชาวอเมริกันสนใจแคนาดา เพราะเป็นประเทศเพื่อนบ้านที่มีลักษณะทางภูมิศาสตร์และวัฒนธรรมหลายอย่างใกล้เคียงกัน อีกทั้งยังใช้ภาษาอังกฤษในการสื่อสาร



    อย่างไรก็ตาม การย้ายถิ่นฐานไปแคนาดาอาจไม่ง่ายนัก เพราะเมื่อปลายเดือนตุลาคมที่ผ่านมา Justin Trudeau นายกรัฐมนตรีแคนาดา เพิ่งออกมาประกาศลดโควตาชาวต่างชาติที่จะย้ายเข้ามาตั้งถิ่นฐานในประเทศลง เพื่อรับมือกับจำนวนประชากรที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วอันนำมาสู่ปัญหาการขาดแคลนที่อยู่อาศัยและการเข้าถึงบริการสาธารณะ

    แน่นอนว่าชาวอเมริกันไม่ได้มุ่งเป้าไปยังแคนาดาเพียงประเทศเดียว VisaGuide.World สื่อด้านการเดินทางและข้อมูลวีซ่าจากทั่วโลกเผยว่า หลัง Trump ประกาศชัยชนะเพียงวันเดียว จำนวนการค้นหาที่เกี่ยวข้องกับการ “ย้านถิ่นฐาน” บนเว็บไซต์ VisaGuide.World ก็เพิ่มขึ้นถึง 338%

    ประเทศอื่นๆ ที่ชาวอเมริกันค้นหาข้อมูลการย้ายถิ่นฐาน ได้แก่ ไอร์แลนด์ สหราชอาณาจักร เยอรมนี สวิตเซอร์แลนด์ สเปน โปรตุเกส เนเธอร์แลนด์ นิวซีแลนด์ ออสเตรเลีย คอสตาริกา และเม็กซิโก

    โดยแต่ละคนมีเหตุผลในการเลือกจุดหมายปลายทางที่แตกต่างกันออกไป เช่น ค่าครองชีพที่จ่ายได้ ภูมิอากาศอบอุ่น โอกาสด้านอาชีพการงาน การศึกษา คุณภาพชีวิต ฯลฯ นอกจากนี้ มีชาวอเมริกันจำนวนไม่น้อยสนใจประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นหลักอย่างสหราชอาณาจักรและออสเตรเลียมากเป็นพิเศษ


สาเหตุที่ชาวอเมริกันกังวลจนอยากย้ายประเทศ

    Greenback Expat Tax Accountant บริษัทช่วยเหลือด้านการจัดการภาษีสำหรับชาวอเมริกันที่ทำงานในต่างประเทศเคยทำการสำรวจชาวอเมริกัน 1,001 คน และนำมาสรุปเป็นรายงานเผยแพร่เมื่อเดือนกันยายน 2024 โดยในบรรดาผู้เข้าร่วมทำแบบสอบถาม มีจำนวนผู้สนับสนุนพรรคเดโมแครต 41% และผู้สนับสนุนพรรครีพับลิกัน 22%



    1 ใน 5 ของผู้สนับสนุนพรรคเดโมแครตเผยว่าพวกเขาจะพิจารณาการย้ายประเทศหากตัวแทนจากพรรครีพับลิกันได้รับชัยชนะ โดยกลุ่ม Gen Z มีแนวโน้มที่จะดำเนินการคิดวางแผนย้ายประเทศมากที่สุด สำหรับ 3 อันดับประเทศทกลุ่มผู้สนับสนุนพรรคเดโมแครตสนใจ ได้แก่ แคนาดา สหราชอาณาจักร และออสเตรเลีย

    สำหรับประเด็นที่ผู้สนับสนุนพรรคเดโมแครตเป็นกังวลมากที่สุด คือ สิทธิในการทำแท้งที่ 73% รองลงมาเป็นการควบคุมอาวุธปืน 66% ส่วนประเด็นด้าน Healthcare ความไม่เท่าเทียมทางรายได้ และความยากจนอยู่ที่ 65% เท่ากัน

    ในขณะที่ผู้สนับสนุนพรรครีพับลิกันกังวลเรื่องผู้อพยพมากที่สุด 73% รองลงมาคือเรื่องเศรษฐกิจและการจ้างงาน 66% สุดท้ายคือนโยบายและความขัดแย้งกับต่างประเทศ 43%

    ทั้งนี้ ผู้เข้าร่วมทำแบบสอบถาม 53% ต้องการย้ายถิ่นฐานถาวร แต่ยังคงต้องการคงสถานภาพพลเมืองสหรัฐฯ เอาไว้อยู่, 21% ต้องการย้ายถิ่นฐานถาวรและพร้อมละทิ้งการเป็นพลเมืองสหรัฐฯ, 17% ต้องการย้ายถิ่นฐานชั่วคราว แต่ยังไม่มีกำหนดกลับ และ 7% ่ต้องการย้ายไปอยู่ประเทศอื่นจนกว่าจะหมดวาระของรัฐบาล Trump


แหล่งที่มา:

Politics Driving Americans Abroad

After Trump's win, many despondent Americans research moving abroad

American interest in Canadian citizenship is spiking again

1514% Surge in Americans Looking to Move Abroad After Trump’s Victory

Number of Americans looking to live abroad jumps by 1,500% after Trump wins election


ภาพ: Unsplash.com, AFP และ Greenback Expat Tax Services


เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : Trump ประกาศชัยชนะ ‘เลือกตั้งสหรัฐ 2024’ ตลาดจับตาหนี้สาธารณะสหรัฐพุ่ง-การค้าโลกเปลี่ยน

ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine