เมื่อการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐมีความชัดเจนยิ่งขึ้น สถานการณ์การลงทุนในไทยยังมีอีกหลายด้านที่ต้องติดตาม ตลท. ประเมินว่าเมื่อรู้ผลการเลือกตั้งฯ คาดว่าเม็ดเงินทุนไหลจะกลับสู่สินทรัพย์เสี่ยง รวมถึงไทยมากขึ้น แม้ช่วงปลายปีต่างชาติจะชะลอลงตามผลฤดูกาล แต่ยังต้องติดตามผลกระทบทั้งสงครามการค้า - Supply Chain ที่จะเปลี่ยนไป
นายศรพล ตุลยะเสถียร รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานวางแผนกลยุทธ์องค์กร ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) กล่าวว่า เดือน ต.ค. 2567 ที่ผ่านมา ตลาดหุ้นไทยผันผวนมาก โดย SET Index ปิดที่ 1,466.04 จุด เพิ่มขึ้น 1.2% จากเดือนก่อนหน้า แต่ถือเป็นเดือนที่ 2 ที่หุ้นไทยปรับตัวขึ้นเมื่อเทียบกับประเทศรอบข้าง โดยเดือนที่ผ่านมา ยังเห็นเม็ดเงินลงทุนไหลกลับไปพักที่สหรัฐ เนื่องจากคนยังกังวลความผันผวน และแนวโน้มที่นักลงทุนมองว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) ไม่ปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายลดลงเร็วอย่างที่คาด
ขณะที่แนวโน้มตลาดหุ้นไทย ในเดือน พ.ย. 2567 ประเมินว่าจะเห็นการไหลกลับของเงินทุนเข้าสินทรัพย์เสี่ยง ซึ่งรวมถึงไทย โดยเฉพาะเมื่อมีความชัดเจนจากการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐในวันที่ 5 พ.ย. 2567 นี้ (กำลังนับคะแนนอยู่ในปัจจุบัน) เชื่อว่าตลาดจะคลายความกังวลและมีแนวโน้มจะรับความเสี่ยงได้มากขึ้น โดยปริมาณเม็ดเงินลงทุนจะมากน้อยเพียงใดขึ้นอยู่กับจุดเด่นของแต่ละประเทศ แต่ช่วงเดือน ธ.ค. ของทุกปี ต่างชาติมักจะชะลอลงเพราะต่างชาติมักเข้าสู่ช่วงวันหยุดยาว
ในส่วนของไทย มองว่า จุดแข็งคืออุตสาหกรรม Health และ Tourism รวมถึงธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับความยั่งยืน ซึ่งเชื่อว่าต่างชาติยังสนใจกลุ่มนี้ แต่ปัจจุบันไทยอาจฟื้นช้ากว่าคนอื่น เพราะมีการเชื่อมโยงกับภาคท่องเที่ยวที่พึ่งพิงจีนค่อนข้างสูง แต่จากตัวเลข PMI ล่าสุดของจีนในเดือนตุลาคมออกมาในระดับดี หากค่าเงินบาทไม่แข็งค่าเกินไปจนเป็นอุปสรรค ประเมินว่าไทยจะได้รับผลดีจากปัจจัยเหล่านี้ในช่วงปลายปี
อย่างไรก็ตาม หลังมีความชัดเจนของการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ ไม่ว่าผู้ลงสมัครเลือกตั้งท่านใดชนะ ล้วนมีแผนการใช้เงินการคลังเยอะ อาจจะสร้างความกังวลจากฐานะการคลังที่จะส่งผลต่ออัตราดอกเบี้ยนโยบาย และยังต้องติดตาม 2 ปัจจัยสำคัญคือ
1. สงครามการค้า จะเกิดใหม่ รุนแรงแค่ไหน (จากการย้ายฐาน) และภาคธุรกิจจะปรับตัวอย่างไร
2. Supply Chain ที่เปลี่ยนไปซึ่งอาจส่งผลกระทบต้นทุนการผลิต
หาก Donald Trump ชนะการเลือกตั้งครั้งนี้ มองว่า 1. จะเห็นนโยบายที่ค่อนข้างชัดเจนมากขึ้น เมื่อเทียบกับการเลือกตั้งฯ ครั้งก่อน 2. มีโอกาสเรื่องของการย้ายฐาน เช่น การกำหนดให้เก็บภาษีจากการนำเข้าจากจีน 60% แต่เก็บจากประเทศอื่น 10% ดังนั้นหมายถึงการผลิตมาจากประเทศอื่น ซึ่งถ้าไทยสามารถปรับตัวได้ทันจะได้รับผลดี และ 3. หาก Trump ส่งเสริมพลังงานแบบดั้งเดิม อาจส่งผลดีต่อประเทศไทยซึ่ง overweight หุ้นพลังงานที่เป็น Traditional (ส่วนนี้ยังมีความไม่แน่นอน)
Photo by Jonathan Simcoe on Unsplash
เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : กรุงไทยจับตา ‘บาทผันผวนสูง’ หลังปิดหีบ-ลุ้นผลเลือกตั้งปธน.สหรัฐฯ เช้านี้ (6 พ.ย.) แข็งค่าเล็กน้อย
ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine