ตลาดหุ้นไทยเจอความไม่แน่นอนมาต่อเนื่องจนบางช่วงดัชนีหลุดต่ำ 1,300 จุด ส่วนหนึ่งเพราะเงินทุนต่างชาติ (Fundflow) ที่ไหลออก ล่าสุด ภากร ปีตธวัชชัย มองว่าหลังจากนี้ Fundflow จะไหลกลับเข้าไทยแล้ว เพราะกำไร บจ. ที่ฟื้นตัว และเมื่อ Fed ลดดอกเบี้ยจะทำให้การลงทุนในตลาดเกิดใหม่น่าสนใจยิ่งขึ้น
ดร. ภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) เปิดเผยว่า ช่วงที่ผ่านมา มองเห็นแนวโน้มที่ Fundflow จะกลับเข้ามาในไทยมากขึ้น หลังจากหลายปีมานี้มีเม็ดเงินไหลออกไปมากแล้ว และในปีนี้เริ่มเห็นการไหลกลับเข้ามาสู่ตลาดหุ้นไทย อย่างไรก็ตามเชื่อว่า ปี 2567 Fundflow หรือเม็ดเงินลงทุนจากต่างชาติจะไหลกลับเข้ามาเพราะเห็นการ รีบาวน์ดของกำไรบริษัทจดทะเบียนที่มาจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย และมีมุมมองว่าปัจจัยด้านความไม่แน่นอนต่างๆ ล้วนมีความชัดเจนมากขึ้น แต่ยังต้องติดตามปัจจัยความไม่แน่นอนต่างๆ อย่างใกล้ชิด
ในระยะต่อไป การพัฒนาของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ยังมีสิ่งที่ต้องระวังมากขึ้น คือ การเปลี่ยนแปลงที่เกิดเร็วขึ้นเรื่อยๆ จากในอดีตอาจจะช้า เพราะเทคโนโลยีไม่ได้สนับสนุน โซเชียลมีเดียไม่ได้รุนแรงรวดเร็วเหมือนในปัจจุบัน ในฐานะหน่วยงานที่ต้องมีความเชื่อมั่นจึงต้องให้ความสำคัญว่าจะปรับตัวได้เร็วแค่ไหน ทั้งวิธีการทำงานขององค์กร และผู้มีส่วนเกี่ยวข้องต่างๆ ในอนาคตการทำงานร่วมกันเป็นเรื่องสำคัญมาก ผ่านความร่วมมือต่างๆ MOU ที่เกิดขึ้น และอนาคตจะทำอย่างไรให้การเชื่อมโยงไร้รอยต่อ ตอบสนองต่อสถานการณ์ต่างๆ ได้รวดเร็วยิ่งขึ้น
ดร.ศรพล ตุลยะเสถียร รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานวางแผนกลยุทธ์องค์กร และโครงการกลยุทธ์ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) กล่าวว่า ต้นเดือน ส.ค. หุ้นทั่วโลกปรับตัวลดลง เพราะตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตร ของสหรัฐออกมาต่ำกว่าที่ตลาดคาดไว้ และความกังวลถึงการชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐว่าจะเป็น Soft landing หรือไม่ อย่างไรก็ตามตลาดหุ้นไทย ณ สิ้นเดือน ส.ค. 67 SET Index ปิดที่ 1,359.07 จุด ปรับเพิ่มขึ้น 2.9% จากเดือนก่อนหน้า มีแนวโน้มที่ดีขึ้นต่อเนื่องจากปัจจัยในประเทศที่ด้านการเมืองมีความชัดเจนขึ้น
นอกจากนี้ นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะมีสภาพคล่องไหลเข้าตลาดหุ้นไทยเพิ่มในช่วงที่เหลือของปี หลังจากคณะรัฐมนตรีเห็นชอบการปรับปรุงมาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมการลงทุนเพื่อความยั่งยืนของประเทศไทยในกองทุน Thai ESG และความชัดเจนในการออกขายกองทุนวายุภักษ์ 1 คาดว่าจะส่งเสริมความเชื่อมั่นโดยรวมในตลาดทุน
ขณะที่ ปัจจัยต่างประเทศต้องติดตามการประชุมของ Fed ในวันที่ 18 ก.ย. โดยตลาดจับตาว่า Fed จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงที่ 0.25% หรือ 0.50% หลังจากการประชุมประจำปีของธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) ที่เมือง Jackson Hole เมื่อปลายเดือนที่ผ่านมา Jerome Powell ประธาน Fed ส่งสัญญาณถึงความเชื่อมั่นมากขึ้นว่าอัตราเงินเฟ้อของสหรัฐฯ กำลังชะลอตัวเข้าสู่เป้าหมายที่ 2% และถึงเวลาที่ Fed ควรจะเริ่มปรับลดอัตราดอกเบี้ย ซึ่งน่าจะส่งผลให้หุ้นสหรัฐฯ มีโอกาสปรับฐานหลังจากปรับเพิ่มขึ้นมากในช่วงก่อนหน้าโดยเงินทุนมีโอกาสเคลื่อนย้ายไปยังหุ้นและพันธบัตรใน Emerging Market ที่มีพื้นฐานดี
เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : ไตรมาส 2/67 ประกาศขายบ้านมือสองในไทยพุ่ง 7.1 แสนล้านบาท ‘กรุงเทพฯ-ปริมณฑล' แห่ขายมากที่สุด
ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine