เมื่อหุ้นไทยทะลุ 1,400 จุดจาก ‘บาทแข็ง - ข่าวดีกองทุนวายุภัคฯ’ หลังจากนี้ต้องติดตามปัจจัยใด - Forbes Thailand

เมื่อหุ้นไทยทะลุ 1,400 จุดจาก ‘บาทแข็ง - ข่าวดีกองทุนวายุภัคฯ’ หลังจากนี้ต้องติดตามปัจจัยใด

หลังจากเมื่อวานนี้ (5 ก.ย. 67) ตลาดหุ้นไทยหรือ SET Index พลิกกลับเป็นบวกเกือบ 40 จุด มาจนถึงเช้าวันนี้ 6 ก.ย. 2567 ยังคงบวกต่อเนื่องจนมีดัชนีสูงสุดที่ราว 1,429.27 จุด ซึ่งในช่วง 2 วันนี้ถือว่าเพิ่มขึ้นกว่า 60 จุดแล้ว ถือว่าร้อนแรงมากเมื่อเทียบกับช่วง 1 เดือนที่ผ่านมาที่ดัชนี SET Index ลดลงต่ำสุดไปถึง 1,274.01 จุด

    สาเหตุหนึ่งที่ช่วยหนุนตลาดหุ้นไทยให้ฟื้นตัวได้ มาจากปัจจัยในประเทศอย่าง ความชัดเจนและความคาดหวังต่อนโยบายเศรษฐกิจของคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ รวมถึงข่าวเรื่องกองทุนรวมวายุภักษ์ที่จะมีวงเงิน 100,000 - 150,000 ล้านบาท และหลายฝ่ายคาดว่าเม็ดเงินเหล่านี้จะเข้าสู่ตลาดในช่วงไตรมาส 4 ปี 2567 และมาช่วยตลาดหุ้นไทยที่ซบเซามาระยะหนึ่งได้ นอกจากนี้ 5 ก.ย. ยังเห็น สถาบันในประเทศและนักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิในตลาดหุ้นสูงถึง 3,600 ล้านบาท และ 7,500 ล้านบาท ตามลำดับ แต่แม้หุ้นไทยจะมาถึง 1,400 จุด แล้วแนวโน้มหลังจากนี้ ยังมีปัจจัยอะไรที่ต้องติดตามบ้าง

    จิติพล พฤกษาเมธานันท์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ Head of Global Investment Strategy บริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า SET Index กลับมายืนเหนือ 1,400 จุดอีกครั้งนับตั้งแต่เดือน เม.ย. 2567 ที่ผ่านมา ตลาดหุ้นไทยเมื่อวานนี้ถือว่าคึกคัก ส่วนหนึ่งมองว่ามาจาก ข่าวของกองทุนรวมวายุภัค (ที่จะเข้ามาช่วยกระตุ้นตลาดทุน) ที่เข้ามาได้ถูกจังหวะคือ สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐกำลังอ่อนค่า และเศรษฐกิจชะลอตัว เลยส่งผลให้ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้น (สกุลเงินในภูมิภาคยังแข็งค่าขึ้นเช่นกัน) ทั้งนี้ มองว่ามีแนวรับ SET Index ที่ 1,470 - 1,480 จุด อาจจะเริ่มติดขัดเพราะยังมีปัจจัยด้าน Earning

    บล. ฟินันเซีย ไซรัส มองว่าปัจจัยต่างประเทศที่ต้องติดตาม คือ การจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐในเดือน ส.ค. ที่จะออกมาในคืนนี้ ตลาดคาดเพิ่มขึ้นราว 165,000 ตำแหน่ง หากออกมาใกล้เคียงคาดจะทำให้ตลาดผ่อนคลายมากขึ้น แต่หากออกมาต่ำกว่าคาดและใกล้ระดับ 1 แสนตำแหน่ง จะเพิ่มแรงกดดัน และโอกาสที่ธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) จะต้องลดดอกเบี้ย 50 bps ในเดือนนี้ ทำให้เม็ดเงินมีโอกาสไหลออกจากหุ้น และเข้าพันธบัตรต่อเนื่อง และกด Bond Yield ให้ขยับลง

    ขณะที่บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด หรือ บล. เอเซีย พลัส (ASPS) มองว่าปัจจัยที่ต้องติดตามคือ ตัวเลขตลาดแรงงานสหรัฐฯ ที่อ่อนแอต่อเนื่อง ทั้งจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรก รายสัปดาห์ที่ออกมาต่ำกว่าคาดการณ์ และ ADP รายงานการจ้างงานภาคเอกชนสหรัฐฯ เดือน ส.ค. เพิ่มขึ้นเพียง 99,000 ตำแหน่ง ต่ำสุดตั้งแต่ ม.ค. 67 ขณะที่หากคืนนี้ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือน ส.ค. ออกมาต่ำกว่าที่ตลาดคาดอาจทำให้ความกังวลว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะชะลอตัวเร็วกว่าที่ประเมินไว้เพิ่มสูงขึ้น และอาจหนุนให้ Fed ปรับลงดอกเบี้ยถึง 0.50% ในรอบการประชุม 18 ก.ย. นี้
ส่วนปัจจัยในประเทศ ต้องติดตาม สัปดาห์หน้า (9-13 ก.ย. 67) ในรายละเอียดและความคืบหน้าของกองทุนวายุภักษ์ (จะเสนอขายหน่วยลงทุนประเภท ก. วันที่ 16-20 ก.ย. ขายแก่นักกลงทุนทั่วไปในวันที่ 18-20 ก.ย. และขายแก่นักลงทุนสถาบัน,1 ต.ค. เป็นต้นไป)

    อย่างไรก็ตาม หากกองทุนวายุภักษ์เริ่มลงทุนและ 15 ต.ค. เข้าซื้อขายในตลาดหุ้นไทยเงินไหลเข้าตลาดฯ เบื้องต้นมูลค่าเม็ดเงิน 150,000 ล้านบาท มองว่าจะมีหุ้นที่ได้ประโยชน์และราคา Laggard ทางเทคนิค (ราคาหุ้นยังไม่ปรับขึ้นมากนัก) ได้แก่ PTT, SCC, TISCO, TIDLOR, BGRIM, OR, GPSC, ADVANC และ INTUCH

    นอกจากนี้ยังต้องติดตามโครงการ Digital Wallet (ที่มีการเปลี่ยนแปลงไป) โดยในช่วงวันที่ 12 - 13 ก.ย. จะมีการแถลงนโยบายต่อรัฐสภา โดยนาย จุลพันธ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลังเผยว่าจะปิดลงทะเบียนโครงการนี้ฯ สำหรับกลุ่มสมาร์ทโฟน 15 ก.ย. นี้ และ 16 ก.ย. จะเปิดให้กลุ่มที่ไม่มีสมาร์ทโฟนลงทะเบียนถึง 15 ต.ค. 67 คาดว่าหุ้นที่ได้ประโยชน์ เช่น CPALL, CPAXT, BJC, OSP, CBG, ICHI, SNNP, MEGA, DOHOME, TIDLOR และ SAWAD หุ้นเทคนิคเลือก NOBLE, MALEE



เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : ChinHuay ธุรกิจครอบครัวอายุ 99 ปีที่มี ‘ธรรมนูญโฮลดิ้ง’ และปี 67 นี้คาดรายได้ทะลุ 2,000 ล้าน

ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine