ไทยพาณิชย์ (SCB) ประกาศผลกำไรสุทธิประจำไตรมาส 2 ปี 2564 จำนวน 8.82 พันล้านบาทและครึ่งแรกของปี 1.89 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 7.3% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน พร้อมรับมือความไม่แน่นอนจากการแพร่ระบาดระลอกใหม่และเดินหน้าเตรียมความพร้อมการปรับปรุงโครงสร้างหนี้แบบเบ็ดเสร็จช่วยเหลือลูกค้า
อาทิตย์ นันทวิทยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและประธานกรรมการบริหาร ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวว่า ในช่วงครึ่งแรกของปี 2564 ธนาคารมีผลการดำเนินงานที่เข้มแข็งและสามารถรับมือกับความไม่แน่นอนจากการแพร่ระบาดระลอกใหม่ด้วยดีจากฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง ทำให้ธนาคารไทยพาณิชย์และบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิในไตรมาส 2 ของปี 2564 จำนวน 8.82 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 5.4 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ในขณะที่กำไรจากการดำเนินงานก่อนหักสำรองมีจำนวน 2.11 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 4.8 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งเป็นผลของการขยายฐานรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยและการปรับตัวลดลงของค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานของธนาคาร สำหรับครึ่งปีแรกของปี 2564 ธนาคารมีกำไรสุทธิจำนวน 1.89 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 7.3 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน สำหรับในไตรมาส 2 ของปี 2564 ธนาคารมีรายได้ดอกเบี้ยสุทธิจำนวน 2.35 หมื่นล้านบาท ลดลงร้อยละ 1.3 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ภายใต้สภาวะอัตราดอกเบี้ยต่ำในปัจจุบันและการมุ่งเน้นการเติบโตของสินเชื่อที่มีคุณภาพ โดยรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยมีจำนวน 1.3 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 4 จากปีก่อน ส่วนใหญ่เป็นผลของการขยายฐานรายได้ประเภทที่เกิดขึ้นเป็นประจำ (recurring) จากธุรกิจการขายผลิตภัณฑ์ประกันผ่านธนาคารและธุรกิจการบริหารความมั่งคั่ง ด้านค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานมีจำนวน 1.54 หมื่นล้านบาทลดลงร้อยละ 4.7 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งเป็นผลจากการปรับตัวลดลงของค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับพนักงาน อัตราส่วนค่าใช้จ่ายต่อรายได้ของธนาคารในไตรมาส 2 ของปี 2564 ปรับตัวลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนเป็นร้อยละ 42.2 ขณะที่อัตราส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพ ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2564 ทรงตัวจากไตรมาสที่ผ่านมาที่ร้อยละ 3.79 สะท้อนถึงการบริหารจัดการสินเชื่อด้อยคุณภาพเชิงรุกของธนาคาร อัตราส่วนค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญต่อสินเชื่อด้อยคุณภาพของธนาคารยังอยู่ในระดับสูงที่ร้อยละ 142.3 ในขณะที่เงินกองทุนตามกฎหมายของธนาคารยังอยู่ในระดับแข็งแกร่งที่ร้อยละ 17.9 “ภายใต้สภาพแวดล้อมทางธุรกิจที่มีความท้าทายและผันผวนเช่นนี้ ธนาคารยังคงให้ความช่วยเหลือแก่ลูกค้าของธนาคารที่ได้รับผลกระทบผ่านโครงการช่วยเหลือทางการเงินต่างๆ และผ่านกิจกรรมเพื่อสังคมของธนาคาร รวมถึงการยกเว้นค่าบริการส่งอาหารบนแพลตฟอร์มส่งอาหารโรบินฮู้ดของธนาคารภายใต้แนวคิดสังคมอยู่รอด ธนาคารก็จะรอดไปด้วย” ดังนั้นในช่วงไตรมาส 2 ของปี 2564 ธนาคารจึงได้ตั้งเงินสำรองจำนวน 1 หมื่นล้านบาท และตั้งเงินสำรองจำนวน 2 หมื่นล้านบาทสำหรับครึ่งปีแรก ซึ่งสอดคล้องกับสถานการณ์ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจในปัจจุบันจากการแพร่ระบาดระลอกใหม่ของไวรัสโควิด-19 “นอกจากนี้ ธนาคารได้เตรียมความพร้อมสำหรับการปรับปรุงโครงสร้างหนี้แบบเบ็ดเสร็จเพื่อช่วยให้ลูกค้าอยู่รอดและฟื้นตัวจากวิกฤตครั้งนี้แบบยั่งยืนให้มากที่สุด ในขณะเดียวกัน ธนาคารยังคงหาโอกาสทางธุรกิจหลังยุควิกฤตโควิด-19 โดยต่อยอดธุรกิจใหม่ที่มีศักยภาพเติบโตสูง และนำเสนอประสบการณ์ธนาคารดิจิทัลแห่งอนาคต ควบคู่ไปกับการยกระดับความผูกพันกับลูกค้าให้ครอบคลุมมากกว่าธุรกิจการเงิน” อ่านเพิ่มเติม: โครงสร้างเศรษฐกิจไทย โจทย์ท้าทายสู่โลกใหม่หลังโควิด-19ไม่พลาดเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ของเรา ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine