เช้าวันนี้ (6 พ.ย. 67) หลายพื้นที่ในสหรัฐฯ ทยอยปิดหีบ และนับคะแนนผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ทำให้นักวิเคราะห์จับตาว่าเงินบาทอาจเคลื่อนไหวผันผวนสูงไปตามการเปลี่ยนแปลง กรุงไทยมองว่าควรระวังความผันผวนในช่วงตลาดทยอยรับรู้ผลการเลือกตั้งสหรัฐฯ ซึ่งอาจสูสีได้พอสมควร แต่ยังคาดกรอบการเคลื่อนไหววันนี้อยู่ที่ 33.50-34.00 บาทต่อเหรียญสหรัฐ
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า เช้าวันนี้ค่าเงินบาทเปิดตลาดที่ระดับ 33.55 บาทต่อเหรียญสหรัฐ ปรับตัวแข็งค่าขึ้นเล็กน้อย
จากระดับปิดวันก่อนหน้าที่ระดับ 33.62 บาทต่อเหรียญสหรัฐ
นับจากช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) ทยอยแข็งค่าขึ้นเล็กน้อย ในลักษณะ Sideways Down ภายในกรอบการเคลื่อนไหว 33.53-33.67 บาทต่อเหรียญสหรัฐ หลังสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐยังคงทยอยอ่อนค่าลง ตามแรงขายทำกำไรสินทรัพย์ในธีม Trump Trades ก่อนที่ตลาดจะรับรู้ผลการเลือกตั้งสหรัฐฯ
แม้ว่า เงินดอลลาร์จะมีจังหวะแข็งค่าขึ้นบ้าง ตามรายงานดัชนี ISM PMI ภาคการบริการ เดือนตุลาคม ที่เพิ่มขึ้นสู่ระดับ 56 จุด ดีกว่าที่ตลาดคาดไว้พอสมควรก็ตาม นอกจากนี้ เงินบาทยังพอได้แรงหนุนจากการรีบาวด์ขึ้นของราคาทองคำ (XAUUSD) เข้าใกล้โซน 2,750 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์ หลังทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ต่างก็ทยอยปรับตัวลดลงในช่วงหลังตลาดรับรู้รายงานดัชนี ISM PMI ภาคการบริการของสหรัฐฯ
ฝั่งตลาดหุ้นสหรัฐฯ แม้ตลาดยังรอลุ้นผลการเลือกตั้งสหรัฐฯ แต่ยังคงได้แรงหนุนจากรายงานดัชนี ISM PMI ภาคการบริการ เดือนตุลาคม 2567 ที่ออกมาดีกว่าคาด ทำให้ผู้เล่นในตลาดยังคงเชื่อมั่นต่อแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่อาจขยายตัวได้ดีต่อเนื่อง ทำให้โดยรวม ดัชนี S&P500 ปิดตลาด เพิ่มขึ้นที่ 1.23%
ทั้งนี้ กรุงไทยประเมินว่า ผลการเลือกตั้งอาจจะรู้อย่างเร็วสุดในช่วงบ่ายของวันนี้ แต่อาจในเวลานับคะแนนหลายวันจึงจะรู้ผล (เหมือนกับการเลือกตั้งปี 2563) ซึ่งตลาดการเงินอาจเคลื่อนไหวผันผวนสูง ตามการปรับเปลี่ยนมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มผู้ชนะการเลือกตั้งสหรัฐฯ
สำหรับ แนวโน้มของค่าเงินบาท กรุงไทย ประเมินว่า เงินบาท รวมถึงสินทรัพย์อื่นๆ ในตลาดการเงิน มีแนวโน้มเคลื่อนไหวผันผวนสูงกว่าช่วงปกติ ในระหว่างตลาดทยอยรับรู้ผลการเลือกตั้งสหรัฐฯ โดยการเคลื่อนไหวของเงินบาทอาจผันผวนไปตามแนวโน้มผู้ชนะการเลือกตั้ง โดยจากข้อมูลสถิติในอดีตตั้งแต่การเลือกตั้งปี 2559 พบว่า เงินบาทอาจผันผวนในกรอบ 0.6% ซึ่งอาจดูไม่กว้างมากนัก ทว่าในปัจจุบัน เงินบาทได้อยู่ในช่วงผันผวนสูงกว่าปกติ ทำให้มีโอกาสที่เงินบาทอาจแกว่งตัวในกรอบที่กว้างขึ้นเกิน 2 เท่า จากค่าเฉลี่ยในอดีตได้ เช่น เงินบาทอาจแกว่งตัวในกรอบเกิน 1% หรือ เกิน 40 สตางค์ ได้
ภายในวันนี้มองกรอบเงินบาทที่ระดับ 33.50-34.00 บาทต่อเหรียญสหรัฐ ทั้งนี้ ควรระวังความผันผวนในช่วงตลาดทยอยรับรู้ผลการเลือกตั้งสหรัฐฯ ซึ่งอาจสูสีได้พอสมควร
อย่างไรก็ตาม ประเมินว่า หากผลการเลือกตั้งสหรัฐฯ เป็นไปตามกรณี Base Case ที่เราประเมินว่า คือ Trump w/Divided Congress ซึ่งทางกรุงไทยยอมรับว่า อาจรับรู้แนวโน้มผลการเลือกตั้งประธานาธิบดี ก่อนการเลือกตั้งในส่วนของวุฒิสภาและสภาผู้แทนฯ ได้ ผู้เล่นในตลาดอาจตอบรับ แนวโน้มที่ Donald Trump จะกลับมาเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ สมัยที่ 2 ด้วยการเพิ่มสถานะถือครองสินทรัพย์ให้สอดคล้องกับธีม Trump Trades หนุนให้ เงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ อาจปรับตัวสูงขึ้นต่อ กดดันให้เงินบาทมีโอกาสอ่อนค่าลงกลับไปทดสอบโซนแนวต้าน 34.00 บาทต่อเหรียญสหรัฐ ได้ไม่ยาก
ในทางกลับกัน หาก Kamala Harris สามารถคว้าชัยชนะในการเลือกตั้งได้ โดยเฉพาะในกรณีที่ พรรคเดโมแครตสามารถครองเสียงข้างมากในสภาคองเกรสได้สำเร็จ (Democrat Trifecta, Blue Sweep) ก็จะเป็นกรณีที่ยิ่งหนุนให้ผู้เล่นในตลาดเร่งปรับลดสถานะถือครองสินทรัพย์ธีม Trump Trades กดดันให้ เงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ อาจปรับตัวลดลงได้พอสมควร (เรามอง Asymmetric risk สำหรับ เงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์สหรัฐฯ โดยการปรับตัวขึ้นอาจไม่มาก เท่าการปรับตัวลดลง) หนุนให้ราคาทองคำมีโอกาสปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง พร้อมกับเงินบาทที่อาจแข็งค่าขึ้น จนเสี่ยงทะลุโซนแนวรับหลัก 33.50 บาทต่อเหรียญสหรัฐ ได้
ท่ามกลางปัจจัยเสี่ยงในตลาด ลักษณะ Two-Way Volatility ไม่ว่าจะเป็นการเลือกตั้งสหรัฐฯ ความไม่แน่นอนของสถานการณ์ในตะวันออกกลาง รวมถึงการปรับมุมมองต่อแนวโน้มนโยบายการเงินของบรรดาธนาคารกลางไปมา ทำให้เรายังคงแนะนำว่า ผู้เล่นในตลาดควรใช้กลยุทธ์ในการปิดความเสี่ยงที่หลากหลายมากขึ้น ทั้งการใช้เครื่องมือเช่น Options หรือ สกุลเงินท้องถิ่น ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการปิดความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนได้
เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : KKP มองผลเลือกตั้งสหรัฐฯ ต่อไทย ใครชนะก็ไม่ต่าง การกีดกันการค้ามาแรง ส่งออกเสี่ยงกระทบ
ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine