“กรุงศรี” เผยผลสำรวจทักษะทางการเงินของคนไทยปรับตัวสูงขึ้นแตะระดับ 71.4% สะท้อนว่าคนไทยให้ความสำคัญกับการมีความรู้ทางการเงิน เริ่มออม-เริ่มลงทุนมากขึ้น ถ้าได้เงินมาส่วนใหญ่ก็เอาไป “จ่ายหนี้” ก่อน พร้อมเผยพฤติกรรมแต่ละเจนเนอเรชั่น โดย Gen Z เน้นสร้างตัวเร็ว, Gen Y ลงทุนสร้างทรัพย์สินของตัวเอง ส่วน Gen X เร่งเครื่องปลดหนี้
มิ่งขวัญ พัฒนวงศ์ ผู้บริหารสายงานบริหารแบรนด์และการตลาดองค์กร ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “หลายคนอาจตั้งคำถามว่า ‘การเงิน’ เกี่ยวข้องกับ ‘ความยั่งยืน’ อย่างไร หรืออาจมองว่าความยั่งยืนเป็นเพียงเรื่องของสิ่งแวดล้อมและพื้นที่สีเขียวเท่านั้น แต่ในความเป็นจริง การเงินเกี่ยวข้องกับเกือบทุกมิติของชีวิต และเป็นรากฐานสำคัญที่ทำให้ความยั่งยืนเกิดขึ้นได้อย่างแท้จริง
“กรุงศรี ในฐานะสถาบันการเงิน เราจึงลงมือขับเคลื่อนแนวทางนี้จากภายในองค์กร โดยมุ่งสร้าง Sustainability DNA ให้เกิดขึ้นกับพนักงานทุกคน นอกเหนือจากการดำเนินกิจกรรมด้านสิ่งแวดล้อม สิ่งที่สำคัญไม่แพ้กันคือ การปูพื้นฐานความรู้ทางการเงิน หรือ Financial Literacy รวมถึงความเข้าใจเรื่องการเงินยั่งยืน เพื่อให้พนักงานเป็นต้นแบบที่มีทั้งวินัยในการดำเนินชีวิตและความเชี่ยวชาญในการบริหารจัดการเงิน ก่อนขยายสู่ลูกค้าและสังคมในวงกว้าง
“เนื่องจากกรุงศรีเชื่อมั่นว่า ความยั่งยืนไม่ใช่เรื่องไกลตัวหรือเรื่องที่ต้องรอ แต่คือการเปลี่ยนแปลง ปรับตัว และลงมือทำ ซึ่งสอดคล้องกับพฤติกรรมของคนไทยในปัจจุบันที่เริ่มหันมาให้ความสำคัญกับรากฐาน หรือความรู้ทางการเงินมากยิ่งขึ้น”

ระดับความตระหนักรู้ด้านการเงินของคนไทย มีแนวโน้มที่ดีขึ้น
● จากข้อมูลของวิจัยกรุงศรี เกี่ยวกับพฤติกรรมทางการเงินของแต่ละช่วงวัย และการทำความเข้าใจพฤติกรรมของลูกค้าในแต่ละกลุ่มอย่างต่อเนื่องผ่านทีม Customer Insight พบสัญญาณที่ดีที่สะท้อนว่าคนไทยให้ความสำคัญกับการมีความรู้ทางการเงินเพื่อต่อยอดไปสู่ชีวิตที่ยืนยาวและมีคุณภาพชีวิตที่ดี ดังนี้
จากรายงาน Saving Behavior Survey: Decoding the Saving Habits of Thai Consumers 2025 ที่รวบรวมข้อมูลโดยวิจัยกรุงศรีชี้ว่าทักษะทางการเงินของคนไทยมีพัฒนาการดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยมีคะแนนเฉลี่ยอยู่ที่ 71.4% เพิ่มขึ้นจาก 67.4% ในปี 2563 และสูงกว่าค่าเฉลี่ยของ OECD ที่ 60.5% (องค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา) ซึ่งเป็นองค์กรระหว่างประเทศที่กำหนดเกณฑ์มาตรฐานวัดระดับทักษะทางการเงินในระดับสากล
โดยประเมินจากองค์ประกอบสำคัญ 3 ด้าน ได้แก่ ด้านความรู้ทางการเงิน (Financial Knowledge) ที่ปรับตัวสูงขึ้นเด่นชัดมาอยู่ที่ 69.7% สะท้อนความเข้าใจเรื่องดอกเบี้ยและความเสี่ยงที่ดีขึ้น ด้านพฤติกรรมทางการเงิน (Financial Behavior) ที่เพิ่มขึ้นเป็น 70.3% จากการมีวินัยในการจัดสรรงบประมาณและการออมที่ดี และ ด้านทัศนคติทางการเงิน (Financial Attitude) ที่ยังคงอยู่ในระดับสูงถึง 76.8%
● ครัวเรือนไทยมีการออมเงินบางส่วนจากรายได้ สูงถึง 87.5% โดยส่วนใหญ่อยู่ในรูปแบบที่มีความปลอดภัยสูง เช่น เงินสด หรือ บัญชีเงินฝากเพื่อการออมโดยเฉพาะ โดย 60% มีวินัยทางการเงินที่ดี โดยมีการออมหรือลงทุนอย่างสม่ำเสมอในทุกๆ เดือน และสามารถเก็บเงินได้ 20-30% ของรายได้ต่อเดือน ซึ่งเป็นตัวเลขที่สอดคล้องกับคำแนะนำของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)
● เมื่อมีรายได้เข้ามา คนไทยส่วนใหญ่ (38%) เลือกที่จะจัดลำดับความสำคัญให้กับการ "ชำระหนี้" ก่อนเป็นอันดับแรก ซึ่งแสดงถึงความตระหนักรู้ในภาระหน้าที่ทางการเงิน
● 61.1% ของประชากรไทยมีแผนทางการเงินเพื่อการเกษียณอายุ และได้เริ่มออมเงินเพื่อเป้าหมายดังกล่าวแล้ว อย่างไรก็ตาม มีเพียง 15.7% เท่านั้นที่สามารถดำเนินการตามแผนได้อย่างครบถ้วนจริง
“จากรายงานของวิจัยกรุงศรีสะท้อนว่า คนไทยมีความต้องการพัฒนาทักษะทางการเงินเพื่อการมีชีวิตที่ยืนยาว และมีคุณภาพ ดังนั้น กรุงศรีในฐานะจุดเชื่อมต่อ (Connector) ในการสร้างความเข้าใจเรื่องการเงินกับความยั่งยืนให้คนไทย จึงนำเสนอทางออกที่ครอบคลุมทั้งด้านความรู้ทางด้านการเงิน (Financial Literacy) และโซลูชันทางการเงิน (Financial Inclusion Solution) เพื่อสร้างระบบนิเวศทางการเงิน (Financial Ecosystem) ที่ยั่งยืน
“ในปีนี้และปีหน้า กรุงศรีจึงต่อยอดแคมเปญ GO Sustainable with krungsri ในมิติด้านสังคม ผ่านมุมมอง ‘จุดเริ่มต้นของชีวิตที่ยั่งยืนคือการเงินที่มั่นคง’ ด้วยความตั้งใจที่จะทำให้ความยั่งยืนซึ่งเคยเป็นเรื่องไกลตัว ให้เป็นเรื่องใกล้ตัวและนำไปสู่ชีวิตที่มั่นคงของคนไทยได้จริง” มิ่งขวัญกล่าว
เจาะอินไซต์ด้านการเงินของคนไทย 4 เจเนอเรชัน
เพื่อให้เกิดการสร้างความรู้ ความเข้าใจในเรื่องทักษะการเงินและนำไปสู่การมีชีวิตที่ยั่งยืนได้อย่างแท้จริง กรุงศรีจึงพยายามทำความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง (Empathize) กับคนในแต่ละเจเนอเรชั่น จนพบว่า แต่ละเจเนอเรชั่นในปัจจุบันมีความต้องการทางการเงินที่แตกต่างกัน ทำให้มีพฤติกรรมทางการเงินในปัจจุบันที่แตกต่างกัน ดังนี้
1) Gen Z - วัยเริ่มทำงาน (อายุ 20-30 ปี): "สร้างตัวเร็ว เน้นสมดุล และมองหาความมั่งคั่งแบบใหม่"
● เติบโตมากับความไม่แน่นอนจากวิกฤตโควิดและภัยพิบัติ จึงมีความเข้าใจว่าชีวิตเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน ทำให้เริ่มวางแผนการเงินเร็วขึ้นกว่ารุ่นอื่น โดยตั้งเป้าหมายความสำเร็จทั้งเรื่องงานและชีวิตส่วนตัวไว้ที่อายุประมาณ 53 ปี
● เป็นวัยที่หารายได้หลายช่องทางมากที่สุด กว่า 38% มีรายได้ตั้งแต่ 2 แหล่งขึ้นไป และให้ความสำคัญกับการสร้างสมดุล (Work-Life-Balance) ระหว่างการหาเงินกับการใช้ชีวิตตามไลฟ์สไตล์ให้มีความสุข
● เน้นสร้างเงินสำรองเผื่อฉุกเฉิน 3-6 เดือน เริ่มลงทุนเพื่อพัฒนาทักษะตัวเอง และวางแผนระยะยาวเพื่อการเกษียณ โดยให้ความสำคัญกับประเด็นความยั่งยืนไปพร้อมกัน
2) Gen Y - วัยสร้างครอบครัว (อายุ 30-40 ปี): "ความหวังของบ้าน ที่ต้องบริหารความมั่นคงรอบด้าน"
● ตระหนักถึงบทบาทสำคัญในการดูแลครอบครัว มีการลงทุนสร้างทรัพย์สินเป็นของตัวเองซึ่งมองว่าเป็นการลงทุนในระยะยาว เช่น การซื้อบ้าน รถ โดยมองว่าอายุ 31 ปีควรมีทรัพย์สินเป็นบ้านของตนเอง และตั้งเป้าความก้าวหน้าในอาชีพเพื่อหารายได้ให้เพียงพอ
● เป็นวัยที่เริ่มวางแผนเกษียณอย่างจริงจัง มีความคาดหวังเรื่องเงินใช้หลังเกษียณสูงที่สุดถึง 35,000 บาทต่อเดือน ซึ่งเป็นตัวเลขที่สูงที่สุดในทุกช่วงวัย และสูงกว่าค่าเฉลี่ยของคนไทย
● เน้นสร้างความมั่นคงให้ครอบครัวผ่านประกันชีวิต ประกันสุขภาพ ทุนการศึกษาบุตร และเลือกการลงทุนที่ปลอดภัยเพื่อรักษาเงินต้น
3) Gen X - วัยมั่นคง (อายุ 40-55 ปี): "เร่งเครื่องปลดหนี้ วางแผนเกษียณอย่างมืออาชีพ"
● เป็นช่วงวัยที่ตระหนักถึงการเกษียณอย่างจริงจัง โดย 79% ได้จัดทำแผนการเงินเพื่อการเกษียณเรียบร้อยแล้ว และตั้งใจจะเกษียณที่อายุเฉลี่ย 59 ปี
● เป็น Sandwich Generation ที่ต้องดูแลทั้งลูกและพ่อแม่ ทำให้มีค่าใช้จ่ายสูง แต่ก็มีวินัยทางการเงินที่ดีขึ้น โดย 30% สามารถเก็บเงินได้ตามแผนที่วางไว้
● มุ่งปลดภาระหนี้สินให้หมด สร้าง Passive Income จากอสังหาริมทรัพย์หรือเงินปันผล และจัดสรรเงินออมถึง 41% ของพอร์ตไว้สำหรับการเกษียณโดยเฉพาะ ผ่านเครื่องมือความเสี่ยงต่ำ เช่น RMF หรือกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ
4) Baby Boomer - วัยอิสระ (อายุ 60 ปีขึ้นไป): "Active Aging วัยเกษียณที่ใช้ชีวิตแบบไม่ยอมเกษียณ"
● เป็นวัยเก๋าสำราญที่ยังอยากทำสิ่งที่รักและมีชีวิตบั้นปลายที่สุขสงบ โดย 83% มีการวางแผนการเงินเกษียณไว้ล่วงหน้าแล้ว
● ยังคงมีศักยภาพในการทำงาน ยังไม่หยุดทำงาน โดย 32% ยังมีรายได้หลักจากการทำงานของตนเอง แต่ต้องระมัดระวังการใช้จ่ายเพื่อเตรียมเงินให้พอใช้ยาวนานถึง 20-25 ปี หลังหยุดทำงาน
● ให้ความสำคัญสูงสุดกับค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพและการรักษาเงินต้น (Wealth Preservation) โดยเน้นลงทุนในสินทรัพย์ความเสี่ยงต่ำ เช่น เงินฝาก หรือประกันสะสมทรัพย์ เพื่อให้เงินก้อนที่มีอยู่อยู่รอดปลอดภัยตลอดอายุขัย
ภาพ: กรุงศรี
เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : คนยุคใหม่เริ่ม ‘เช่าใช้’ แทนซื้อ! เช่าบ้าน เพราะไม่อยากมีหนี้ระยะยาว ไม่ซื้อรถ เพราะเปิดรับ Ride-sharing มากขึ้น
ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine

