หลังจาก 4 มิ.ย. 67 คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบมาตรการภาษีเพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยวในเมืองรอง 55 จังหวัด โดยให้มีผลตั้งแต่ 1 พ.ค. - 30 พ.ย. 2567 ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เชื่อว่าจะเป็นแรงหนุนตลาดไทยเที่ยวไทยให้ปี 2567 นี้เติบโต 4.4% จากปีก่อน แต่อาจมีความเสี่ยงจากปัจจัยสภาพภูมิอากาศที่ไม่แน่นอน และความพร้อมผู้ประกอบการขนาดเล็ก
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เปิดเผยว่า จากมาตรการกระตุ้นท่องเที่ยวเมืองรอง ที่มี 2 ส่วนหลัก ได้แก่
1) มาตรการหักลดหย่อนภาษีบุคคลธรรมดา สำหรับค่าใช้จ่ายด้านบริการที่พัก (โรงแรม โฮมสเตย์และที่พักที่ไม่เป็นโรงแรม) และค่าบริการนำเที่ยว จากการเดินทางท่องเที่ยวในจังหวัดเมืองท่องเที่ยวรอง ตามที่จ่ายจริงแต่ไม่เกิน 15,000 บาท โดยต้องมีใบกำกับภาษีแบบเต็มผ่านระบบใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์และใบรับอิเล็กทรอนิกส์ (e-Tax Invoice & e-Receipt)
2) มาตรการหักลดหย่อนภาษีนิติบุคคล สำหรับรายจ่ายการอบรมจัดสัมมนาในพื้นที่เมืองท่องเที่ยวรองสามารถนำมาหักได้ 2 เท่าของรายจ่ายตามที่จ่ายจริง ขณะที่เมืองหลักนำรายจ่ายมาหักได้ 1.5 เท่าของรายจ่ายตามที่จ่ายจริง
ทั้งนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดว่ามาตรการฯ ดังกล่าว จะเป็นแรงหนุนการเดินทางท่องเที่ยวเมืองรองของคนไทยมากขึ้น โดยปัจจุบันคนไทยเที่ยวเมืองรองมีสัดส่วน 41% ในช่วง 4 เดือนแรกปี 2567 เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับปี 2562 และในหลายจังหวัด เช่น เชียงราย สุพรรณบุรี สมุทรสงคราม นครพนม อุบลราชธานี เป็นต้น จำนวนนักท่องเที่ยวไทยกลับมาสูงกว่าปี 2562 แล้ว ขณะที่ รายได้ไทยเที่ยวไทยในเมืองรองก็มีสัดส่วนเร่งตัวขึ้นเช่นกัน
ขณะเดียวกัน คาดว่าผลดีจากมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวเมืองรองฯ ของภาครัฐจะช่วยผลักดันตลาดไทยเที่ยวไทยปี 2567 มีจำนวนนักท่องเที่ยวจะอยู่ที่ 193.5 ล้านคน-ครั้ง เติบโต 4.4% จากปีก่อน และรายได้อยู่ที่ 8.7 แสนล้านบาท ขยายตัว 7.8% จากปีก่อน
อย่างไรก็ตาม ผลบวกจากมาตรการฯ อาจไม่ได้หนุนการเดินทางและรายได้ตลาดไทยเที่ยวไทยให้เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดนัก เนื่องจาก 4 ปัจจัย ได้แก่
1. มาตรการฯ ครอบคลุมกรอบเวลาช่วงฤดูฝนเป็นส่วนใหญ่ และสภาพอากาศมีความไม่แน่นอนสูง โดยสถานที่ท่องเที่ยวอย่างอุทยานแห่งชาติบางแห่งปิดให้บริการในช่วงนี้
2. ผู้ประกอบการในกลุ่มที่พักและบริษัทนำเที่ยวโดยเฉพาะขนาดเล็กอาจมีความไม่พร้อมของระบบในการรองรับ e-Tax Invoice & e-Receipt
3. การตัดสินใจเดินทางของคนไทยในช่วงมาตรการฯ อาจคึกคักน้อยกว่าหากเทียบกับช่วงตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบันที่มีวันหยุดยาวและเทศกาลสำคัญอย่างตรุษจีน สงกรานต์ เป็นต้น ขณะที่กำลังซื้อครัวเรือนส่วนใหญ่ยังมีความเปราะบาง
4. การเลือกที่พักของคนไทยและการจัดงานสัมมนาส่วนใหญ่ยังเน้นไปที่เมืองท่องเที่ยวหลัก โดยมักแวะเที่ยวเมืองรองในรูปแบบของการทัศนาจร
ขณะเดียวกัน การแข่งขันการท่องเที่ยวในประเทศยังสูง จากการที่หน่วยงานภาครัฐและเอกชนในหลายจังหวัดให้ความสำคัญกับการพัฒนาการท่องเที่ยวและการจัดกิจกรรมกระตุ้นการท่องเที่ยว การสร้าง Landmark เพื่อเป็นทางเลือกที่หลากหลายให้กับนักท่องเที่ยว ดังนั้น การเติบโตของการท่องเที่ยวในแต่ละพื้นที่จะยังมีความไม่เท่ากัน
ในรายะเอียดประมาณการของศูนย์วิจัยฯ คาดว่า รายได้ท่องเที่ยวจากคนไทยเที่ยวในประเทศปี 2567 คาดว่าจะอยู่ที่ 8.7 แสนล้านบาท ขยายตัว 7.8% จากปีก่อน เทียบกับที่ขยายตัว 12.9% (YoY) ในช่วง 4 เดือนแรกปีนี้
ทั้งนี้ แม้รายได้ตลาดไทยเที่ยวไทยจะฟื้นตัวต่อเนื่อง แต่ยังต่ำกว่าระดับก่อนโควิดในปี 2562 เนื่องจากนักท่องเที่ยวมีการปรับพฤติกรรมการใช้จ่ายระหว่างการเดินทาง จำนวนวันพักเฉลี่ยลดลงมาที่ 2.1 วัน (จาก 2.46 วันในปี 2562) และการพักค้างมีสัดส่วนน้อยลงมาที่ 51% (จากค่าเฉลี่ยราว 57% ในปี 2562)
Photo by Humphrey Muleba on Unsplash
เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : พาณิชย์ เผยเงินเฟ้อไทยเดือน พ.ค. เพิ่มขึ้น 1.54% จาก ‘ค่าไฟฟ้า-น้ำมัน-ผักสด’ ยังสูง
ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine