ภาคเอกชนอย่าง กกร. มองเศรษฐกิจไทยปี 67 เสี่ยงสูง เจอปัจจัยถ่วงหลายด้าน และค่อนข้างกังวลกับนโยบายจัดเก็บภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ที่อาจทำให้สินค้าไทยมีต้นทุนภาษีเฉลี่ยเพิ่มขึ้น 6-8% และกระทบภาคการส่งออกของไทย ขณะเดียวกันหากจีนไม่สามารถส่งสินค้าไปที่สหรัฐได้ อาจเกิดปัญหาสินค้าจีนไหลเข้าสู่อาเซียนรวมถึงไทย ซึ่งจะตอกย้ำปัญหาในภาพการผลิตที่ชะลอตัวมาอย่างต่อเนื่อง จึงหวังว่าภาครัฐจะออกมาตรการเพิ่มเติม ทั้งการลดต้นทุนผู้ประกอบการเช่น ลดค่าไฟฟ้า ค่าพลังงาน และมองว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายยังปรับลดได้อีก
นายเกรียงไกร เธียรนุกูล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ในฐานะประธาน คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) เปิดเผยผลการประชุมในวันนี้ (5 มี.ค. 68) ว่า เศรษฐกิจไทยปี 2568 คาดว่าจะขยายตัวที่ 2.4 - 2.9% แม้จะมีปัจจัยบวกจากภาคการท่องเที่ยวที่ปีนี้ตามเป้าหมายคาดว่าจะมีจำนวนนักท่องเที่ยวราว 38-39 ล้านคน และมีมาตรการภาครัฐออกมากระตุ้นเศรษฐกิจ แต่ปี 2568 ยังมีความเสี่ยงสูง
สำนักวิจัยในต่างประเทศปรับลดประมาณการ GDP ไทยลงเหลือ 2.6% จากเดิมอยู่ที่ 2.7% จากความเสี่ยงจากนโยบายการค้า และแรงกดดันต่อภาคการผลิตที่จะยังมีต่อเนื่อง ส่วนอุปสงค์ภายในประเทศยังเปราะบาง นำสู่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง

ทั้งนี้ กกร. มองว่า เศรษฐกิจไทยส่งสัญญาณอ่อนแรงลง สะท้อนผ่าน GDP ไตรมาส 4 ปี 2567 ที่ขยายตัวเพียง 3.2% ต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ที่ราว 4.0% ส่งผลให้ทั้งปี 2567 GDP ขยายตัวเพียง 2.5% ต่ำกว่าระดับศักยภาพ ส่วนปี 2568 ที่ประชุม กกร. ยังคงกังวลต่อการดำเนินนโยบายจัดเก็บภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ที่อาจส่งผลกระทบต่อภาพรวมการส่งออกของไทย เพราะอาจเจอผลกระทบทั้งทำให้สินค้าไทยมีต้นทุนภาษีเฉลี่ยเพิ่มขึ้น 6-8% ขณะเดียวกันอาจมีสินค้าจีนทะลักเข้ามาในอาเซียนรวมถึงไทย ซึ่งอาจซ้ำเติมปัญหาในภาคอุตสาหกรรมและภาคการผลิตที่ยังชะลอตัวต่อเนื่อง
ดังนั้น กรร. มองว่า มาตรการเพิ่มเติมเพื่อลดผลกระทบและประคองการเติบโตทั้งในระยะสั้นและระยะยาวมีความจำเป็น โดยเฉพาะการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงนโยบายการค้าโลก การเร่งเบิกจ่ายงบประมาณ การลดต้นทุนผู้ประกอบการ และการยกระดับภาคการผลิตให้แข่งขันได้ในระยะยาว
ในด้านการรับมือนโยบายภาษีสหรัฐ กรณีไทยเกินดุลสหรัฐที่ราว 41,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ทำให้เป็นประเทศต้นๆ ที่อาจเจอกำแพงภาษี มองว่าภาครัฐควรบูรณาการข้อมูล เช่นดุลการค้า ดุลภาคบริการและดิจิทัล (การซื้อบริการสตรีมมิ่งต่างๆ) ดุลภาคขนส่ง ดุลภาคการศึกษา (คนไทยไปเรียนต่อที่สหรัฐ) ฯลฯ ซึ่งข้อมูลเหล่านี้อาจนำมารวมกันเพื่อวางแผนและนำไปเจรจาการค้ากับทางสหรัฐ
ทั้งนี้ ความกังวลต่อปัญหาสินค้าต่างชาติทะลัก เป็นเรื่องที่ กกร. ให้ความสำคัญมาตลอด สะท้อนจากช่วงที่ผ่านมา เมื่อสหรัฐตั้งกำแพงสินค้ากับจีนทำให้มีสินค้าที่เคยส่งไปสหรัฐ ไหลเข้าสู่อาเซียนแทน โดยปี 67 การส่งออกของจีนมาอาเซียน เพิ่มขึ้น 12% ซึ่งในปี 2566-2567 มีกลุ่มอุตสาหกรรมกว่า 20 กลุ่มที่กระทบจากสินค้าต่างชาติทะลักเข้าไทยและอาเซียน ดังนั้นมองว่า หน่วยงานที่เกี่ยวข้องและภาครัฐควรต้องระมัดระวังและมีมาตรการดูแลอย่างต่อเนื่อง เช่น ด่านต่างๆ ต้องป้องกันสินค้าที่อาจทะลักเข้ามา ฯลฯ รวมถึงอาจต้องมีมาตรการอื่นๆ ควบคู่กันไป เช่น มาตรการตอบโต้การทุ่มตลาด (Anti-dumping) ฯลฯ
ในภาพรวมมองว่า ภาครัฐควรมีมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการ เช่น การลดค่าไฟฟ้า ค่าพลังงาน ส่วนด้านอัตราดอกเบี้ยนโยบายมองว่ายังสามารถลดได้อีกเพื่อลดต้นทุนทางการเงินเพิ่มเติม
ภาพ: กกร.
เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : วิจัยกรุงศรีชี้ปี 68 เศรษฐกิจโลก-ไทยยังฟื้นได้ คาด GDP ไทยปีนี้โต 2.7% จากปัจจัยบวกชั่วคราว
ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine