‘จิตตะ เวลธ์’ มองแนวโน้มการลงทุนปี 68 ตลาดหุ้นสหรัฐฯ อาจโตต่อเนื่อง เพราะตามสถิติแล้วปีหลังจากการเลือกตั้งสหรัฐฯ ตลาดหุ้นจะปรับตัวขึ้น โดยมองหุ้นกลุ่มเทคโนโลยียังมีโอกาสเติบโตขึ้นได้ท่ามกลางความผันผวนที่สูงขึ้นจากฐานราคาที่อยู่สูง ในส่วนของไทยมองว่าเศรษฐกิจยังทรงๆ และตลาดหุ้นไทยมีโอกาสน้อยลงที่จะเติบโตอย่างก้าวกระโดด เหมือนในอดีต นอกจากนี้ยังจับตาการปรับเกณฑ์เก็บภาษีลงทุนนอกของกระทรวงการคลังว่าจะมีการปรับเปลี่ยนอย่างไร ล่าสุด ยังเปิดตัวพอร์ตใหม่ Jitta Ranking Alpha เพื่อเป็นตัวช่วยให้นักลงทุน สามารถเข้าลงทุนใน ‘ตลาดหุ้นที่ดีในเวลาที่เหมาะสม’
นายตราวุทธิ์ เหลืองสมบูรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน จิตตะ เวลธ์ จำกัด กล่าวว่า แนวโน้มการลงทุนต่างประเทศในปี 2568 ตลาดหุ้นสหรัฐฯ อาจโตต่อเนื่อง เพราะตามสถิติแล้วปีหลังจากการเลือกตั้งสหรัฐฯ ตลาดหุ้นจะปรับตัวขึ้น โดยมองว่าหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี เช่น กลุ่ม 7 นางฟ้า ยังมีโอกาสเติบโตขึ้นได้ท่ามกลางความผันผวนที่สูงขึ้นจากฐานราคาที่อยู่สูง ในส่วนของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ต้องติดตามความคืบหน้าของนโยบายต่างๆ เช่น นโยบายการปรับลดภาษีสำหรับภาคธุรกิจในประเทศ การขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากต่างประเทศ ความเข้มงวดด้าน Immigration ฯลฯ
ส่วนเศรษฐกิจจีน คาดว่าปี 68 ยังเติบโตได้แต่ยังต้องติดตามว่าจะถึง 5% หรือไม่ แต่คาดว่าจะมีการอัดฉีดเงินเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม ผ่านนโยบายการเงินการคลังที่ผ่อนคลายมากขึ้น เพื่อรับมือกับสงครามการค้าที่จะเพิ่มขึ้น (เช่น สหรัฐฯ อาจขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากจีน)
ส่วนตลาดหุ้นฮ่องกง ในปี 2568 เชื่อว่าจะได้รับผลดีเช่นกัน หากจีนมีการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม ส่วน GDP คาดว่าจะขยายตัวที่ 2.5%
ในส่วนของไทยมองว่าเศรษฐกิจยังทรงๆ และตลาดหุ้นไทยมีโอกาสน้อยลงที่จะเติบโตอย่างก้าวกระโดด เหมือนในอดีต แม้ว่ารัฐบาลชุดปัจจุบันจะมีนโยบายที่อาจสร้างการเติบโตได้ เช่น Entertainment Complex, นโยบายดึงดูดการลงทุนด้าน EV ฯลฯ แต่เชื่อว่ายังไม่เติบโตสูงเหมือนในอดีต อาทิ หลังจากภาวะวิกฤตต้มยำกุ้งเกิดขึ้น ภาคธุรกิจมีการเปลี่ยนแปลงจากเครื่องยนต์หลักอย่าง ภาคการเงิน อสังหาริมทรัพย์ ไปสู่ภาคพลังงาน การสื่อสาร โรงพยาบาล ฯลฯ แต่ปัจจุบันภาคธุรกิจไทยยังไม่สามารถปรับตัวเพื่อตอบโจทย์สินค้าที่โลกต้องการได้ดีนัก
นอกจากนี้ในปี 2568 ยังจับตาการปรับเกณฑ์เก็บภาษีการลงทุนในต่างประเทศของกระทรวงการคลังว่าจะมีการปรับเปลี่ยนหรือไม่ จากปัจจุบันที่จะจัดเก็บภาษีจากกำไรที่เกิดขึ้นจากการลงทุนในต่างประเทศเมื่อนำเม็ดเงินนั้นกลับเข้าสู่ไทย โดยผู้ลงทุนต้องแจ้งต่อทางการด้วยตนเอง แต่ยังมีการพูดคุยถึงกรณีการเก็บภาษีกำไรในช่วงที่มีการลงทุนในต่างประเทศ (ไม่นำกลับเข้าไทยก็ต้องเสียภาษี) แต่ยังอยู่ระหว่างพูดคุยในรายละเอียด ว่าควรเก็บหรือไม่ จะมีการลดหย่อนใดบ้าง หรือจะทำให้สอดคล้องกับการจัดเก็บภาษีของประเทศอื่นๆ อย่างไร
ในส่วนของ Jitta Wealth มีสินทรัพย์ภายใต้การบริหาร 15,000 ล้านบาท มีฐานลูกค้าราว 30,000 - 40,000 ล้านบาท ปัจจุบันบริษัทฯ มี 4 นโยบายลงทุนผ่านหุ้นและ ETF ได้แก่ นโยบาย Jitta Money นโยบาย Global ETF นโยบาย Thematic และนโยบาย Jitta Ranking โดยใช้เทคโนโลยีในการวิเคราะห์คุณภาพสินทรัพย์ และบริหารพอร์ตลงทุนอย่างมีวินัย เพื่อการลงทุนระยะยาว
ล่าสุด เปิดตัว Jitta Ranking Alpha ซึ่งพัฒนาต่อยอดจาก AI ของบริษัทฯ เพื่อจับสัญญาณลงทุนตามเป้าหมายที่จะลงทุนใน ‘ตลาดหุ้นที่ดีในเวลาที่เหมาะสม โดยมีการปรับพอร์ตอย่างต่อเนื่องทุก 3 เดือน และสับเปลี่ยนประเทศให้ทุกปี (ลงทุนภายใต้ จีน สหรัฐฯ ฮ่องกง ญี่ปุ่น)
ทั้งนี้ แนะนำเหมาะสำหรับผู้ลงทุนระยะยาวอย่างน้อย 3-5 ปีขึ้นไป โดย Jitta Ranking Alpha กำหนดเงินลงทุนขั้นต่ำที่ 2 ล้านบาท (กระจายการลงทุนเฉลี่ย 5 แสนบาทต่อประเทศ) เพื่อการกระจายความเสี่ยงและสร้างผลตอบแทนที่ดีสุดจากการทดสอบผลตอบแทนย้อนหลัง (Back Test) 10 ปี ตั้งแต่ 2557-2566 ของ Jitta Ranking Alpha เฉลี่ยอยู่ที่ 20.71% ต่อปี (ณ 19 พ.ย. 2567)
ภาพ: จิตตะ เวลธ์, Nicholas Cappello on Unsplash
เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : ทรีนีตี้ มองดัชนีหุ้นโค้งท้ายปี 67 ทรงตัวที่ 1,430-1,450 จุด รับแรงหนุนจาก “วายุภักษ์1-ThaiESG”
ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine