คนแต่ละ Gen ออมเงินแบบไหนกันบ้าง ผลสำรวจจากวิจัยกรุงศรีพบ Baby Boomer ชอบออมเป็นสลากออมสิน ธ.ก.ส. หรือพันธบัตรมากสุด ส่วน Gen Y และ Gen Z ชอบออมเป็นเงินสด ขณะที่ Gen Z ออมและลงทุน "ทองคำ" มากกว่ากลุ่มอื่นๆ
วิจัยกรุงศรีได้สำรวจพฤติกรรมการออมของผู้บริโภคชาวไทยในระหว่างเดือนพฤศจิกายนถึงเดือนธันวาคม 2567 ผ่านช่องทางออนไลน์ ซึ่งได้รับความร่วมมือจากผู้ร่วมตอบแบบสำรวจทั้งสั้น 1,138 คน โดยมีความหลากหลายของช่วงอายุ อาชีพ ระดับการศึกษาและรายได้
ผู้ตอบแบบสำรวจร้อยละ 42 อยู่ในกลุ่ม Gen X (อายุ 45-59 ปี) และร้อยละ 40 อยู่ในกลุ่ม Gen Y (อายุ 29-44 ปี) โดยเกือบ 2 ใน 3 เป็นเพศหญิง และกว่าร้อยละ 45 มีรายได้ต่อเดือนตั้งแต่ 15,000-50,000 บาท ทั้งนี้ผู้ตอบแบบสำรวจร้อยละ 65 เป็นผู้ที่ทำงานประจำ (ทั้งราชการและเอกชน) และราวครึ่งหนึ่งจบการศึกษาระดับปริญญาตรีหรือเทียบเท่า
คนไทยใช้หนี้ก่อน…ลงทุนทีหลัง
แม้ไทยจะเผชิญปัญหาหนี้ครัวเรือนที่อยู่ระดับสูง แต่ผลสำรวจพบว่าผู้ตอบแบบสอบถามทุกกลุ่ม (อายุ เพศ การศึกษา รายได้) ให้ความสำคัญกับการใช้หนี้มากที่สุด โดยหลังจากได้รับรายได้ ร้อยละ 38 เลือกใช้หนี้เป็นลำดับแรก ขณะที่ร้อยละ 24 เลือกเก็บออมเป็นลำดับแรก โดยมีเพียงร้อยละ 9 ที่มักกันเงินส่วนหนึ่งไปลงทุนก่อนเป็นลำดับแรก
เมื่อกำหนดให้แต่ละลำดับ (Priority) มีคะแนนที่ต่างกัน จากนั้นทำการวิเคราะห์ผลคะแนน จะพบว่าผู้ตอบฯ ให้ความสำคัญกับการ “ใช้หนี้” มากที่สุด รองลงมาคือ “จ่ายบิล” จากนั้นจึง “เก็บออม” และ “ใช้จ่ายทั่วไป” โดยให้ความสำคัญกับการ “ลงทุน” เป็นลำดับสุดท้าย ซึ่งเราสามารถพบการเรียงลำดับดังกล่าวได้ในทุกกลุ่มอายุ ยกเว้นกลุ่ม Baby Boomer ที่ให้ความสำคัญกับการ “จ่ายบิล” เป็นอันดับแรก และให้การ “เก็บออม” และ “ลงทุน” รั้งท้าย
พฤติกรรมการออมและวินัยทางการเงิน
ในแง่มุมของพฤติกรรมการเก็บเงินและ/หรือลงทุน พบว่าผู้ตอบฯ ร้อยละ 60 มีวินัยทางการเงิน กล่าวคือ เก็บเงิน-ลงทุนเป็นประจำทุกเดือน ในขณะที่ร้อยละ 31 ทำเป็นครั้งคราวหรือเมื่อได้รับเงินก้อน และร้อยละ 9 ไม่ได้เก็บเงิน ซึ่งวินัยทางการเงินดังกล่าวแปรผันตรงกับการศึกษาและรายได้ โดยจากการวิเคราะห์เชิงเศรษฐมิติพบว่าผู้ตอบฯ ที่มีระดับรายได้หรือการศึกษาสูงกว่า จะมีโอกาสเก็บเงินและ/หรือลงทุนเป็นประจำมากกว่า
เมื่อพิจารณาเฉพาะกลุ่มจะพบว่า โดยเฉลี่ยแล้ว ผู้มีวินัยทางการเงินมักเก็บเงินและ/หรือลงทุนเป็นสัดส่วนราวร้อยละ 20-30 ของรายได้ต่อเดือน ซึ่งสอดคล้องกับคำแนะนำของ ธปท. ดังที่กล่าวมาข้างต้น
นอกจากนี้ ยังมีข้อสังเกตว่าโดยเฉลี่ยแล้วผู้ตอบฯ ที่มีระดับรายได้ต่อเดือนเกิน 70,000 บาท จะเก็บเงินและ/หรือลงทุนเกินกว่าร้อยละ 30 ของรายได้ ซึ่งสัดส่วนดังกล่าวจะเพิ่มขึ้นตามระดับรายได้ การศึกษา และช่วงอายุ โดยเป็นที่น่าสังเกตว่าเพศชายจะ “เก็บเงินเก่ง” กว่าเพศอื่นๆ เล็กน้อย
อย่างไรก็ตาม ผู้ตอบฯ บางกลุ่ม โดยเฉพาะกลุ่มที่รายได้ต่ำกว่า 30,000 บาทต่อเดือน และกลุ่มที่มีการศึกษาต่ำกว่าระดับปริญญาตรี ยังไม่สามารถเก็บออมและ/หรือลงทุนได้อย่างเป็นประจำสม่ำเสมอ เนื่องจากความท้าทายหลายประการ ทั้งรายได้ที่ไม่แน่นอนหรือไม่พอใช้จ่าย ภาระหนี้สินที่มากเกินไป และการขาดความรู้เกี่ยวกับการวางแผนการเงิน
การออมทั่วไป
ผู้ตอบฯ ทุกกลุ่มรายได้และทุกช่วงอายุนิยมเก็บเงินในบัญชีออมทรัพย์/ฝากประจำมากที่สุด ยกเว้นผู้มีรายได้ต่อเดือนสูงกว่า 100,000 บาท ซึ่งอาจมีภาระภาษีมากกว่า จึงนิยมกองทุนลดหย่อนภาษีหรือกองทุนเพื่อการเกษียณมากที่สุด
ซึ่งหากพิจารณาผลการสำรวจแต่ละกลุ่มอายุจะพบว่า ในแง่ผลิตภัณฑ์ แม้ว่าบัญชีเงินฝากออมทรัพย์และฝากประจำยังคงเป็นวิธีการเก็บออมที่สำคัญสำหรับคนส่วนใหญ่ หากแต่ละช่วงวัยมีผลิตภัณฑ์การออมที่นิยมที่แตกต่างกัน โดยกลุ่ม Baby Boomers นิยมสลากออมสิน, สลาก ธ.ก.ส. และพันธบัตรมากกว่ากลุ่มอายุอื่นอย่างชัดเจน
ในขณะที่ Gen Y และ Gen Z มีแนวโน้มที่จะเก็บออมเป็นเงินสดมากกว่ากลุ่มอื่นๆ นอกจากนี้ Gen Z ยังนิยมออมและลงทุนในทองคำมากกว่ากลุ่มอายุอื่นเช่นกัน

อย่างไรก็ตาม สินทรัพย์เสี่ยงอย่าง หุ้น นั้นอยู่ใน 5 อันดับแรก (Top 5) ของกลุ่ม Baby Boomers และ Gen Z เท่านั้น
ขณะที่กลุ่มวัยทำงานตอนกลางอย่าง Gen X และ Gen Y ไม่นิยมมากนัก จึงเป็นที่น่าสังเกตว่าสินทรัพย์เสี่ยงอย่างหุ้นและทองคำ ไม่ติดอันดับ Top 5 ของกลุ่ม Gen X และ Gen Y แต่กลับได้รับความนิยมจาก Baby Boomers (หุ้น) และ Gen Z (ทั้งหุ้นและทองคำ) อย่างเห็นได้ชัด
โดยสรุปแล้วจะเห็นว่า ทัศนคติต่อผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่แตกต่างกันเหล่านี้ สะท้อนให้เห็นความนิยมหรือความจำเป็นของแต่ละช่วงวัยต่อผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่หลากหลาย
ออกแบบกราฟิกและภาพปก: ธัญวดี นิรุตติศาสตร์
อ้างอิงเนื้อหา: วิจัยกรุงศรี
เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : มีเงิน 1,000,000 บาท ปี 2568 ซื้อสลากออมทรัพย์ที่ไหนดี
ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine