FETCO หวังเศรษฐกิจไทยครึ่งปีหลัง 67 ฟื้น คาดปีนี้ GDP โต 3% เร่งหารือคลังกรณี SSF จะหมดอายุสิ้นปีนี้ พร้อมร่วมมือตั้งกองทุนใหม่ 1.5 แสนล้านบาทที่มีแนวทางเดียวกับกองทุนวายุภัค ย้ำต้องติดตามสถานการณ์สภาพคล่องล้นโลก ท่ามกลางธนาคารกลางหลักพร้อมใจทยอยลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ซึ่งอาจส่งผลต่อภาพรวมการลงทุน
ดร. กอบศักดิ์ ภูตระกูล ประธานกรรมการสภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) กล่าวว่า เศรษฐกิจไทยช่วงครึ่งปีหลัง 2567 มองว่าในภาพรวมจะดีขึ้นในระดับหนึ่ง มาจากแรงขับเคลื่อนด้านการลงทุนภาครัฐที่อั้นมาตลอด และคาดว่าจะเร่งขึ้นใน 4 เดือนสุดท้ายของปีงบประมาณ และในไตรมาส 4 ของปียังมีงบประมาณปีหน้าเข้ามา มีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ฟรีวีซ่า และเป็นฤดูกาลท่องเที่ยว นอกจากนี้การส่งออกไทยยังคาดว่าจะปรับตัวดีขึ้น จึงคาดว่าการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยปี 2567 นี้จะอยู่ที่ 3% และปี 2568 จะเติบโตสูงกว่า 3%
“(เศรษฐกิจไทย) มหภาคไทยพ้นช่วงลำบากที่สุดแล้ว แต่ยังมีปัญหาไมโคร โดยเฉพาะหนี้นอกระบบและกลุ่ม SME ที่เจอผลกระทบและเป็นหนี้เสียตั้งแต่ COVID-19 ถ้าเราปลดล็อก 2 เรื่องนี้แล้วจะช่วยได้ในหลายเรื่อง” ดร. กอบศักดิ์ กล่าว
ทั้งนี้ โจทย์เรื่องการแก้หนี้ภาคครัวเรือน ยังขึ้นอยู่กับเศรษฐกิจหากดีขึ้นประชาชนจะมีรายได้เพิ่มขึ้น และการแก้หนี้จะมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
ด้านตลาดทุน หลังจากนี้ต้องติดตามสถานการณ์เมื่อตลาดการเงินโลกเข้าสู่เฟสใหม่ ที่มีสภาพคล่องจำนวนมาก หลังจากธนาคารกลางต่างคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายในระดับสูงมานานเพื่อสู้กับเงินเฟ้อ แต่ปัจจุบันธนาคารกลางหลายแห่งเริ่มทยอยลดดอกเบี้ยฯ แล้ว เช่น ธนาคารกลางยุโรป (ECB) ธนาคารกลางสวิตเซอร์แลนด์ (SNB) ธนาคารกลางแคนาดา (BOC) จึงเป็นช่วงเข้าสู่ภาวะดอกเบี้ยขาลง ที่มาพร้อมกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ
แต่เมื่อเศรษฐกิจโลกมีทิศทางฟื้นตัวจะส่งผลดีต่อการส่งออกของไทยที่ได้รับผลกระทบจากสินค้าจีนที่ทะลักเข้ามาในไทย เมื่อกิจกรรมการค้าโลกฟื้นตัวสินค้าจีนจะไหลไปยังที่อื่น และผ่อนแรงกดดันในไทย รวมถึงทำให้การส่งออกไทยปรับตัวดีขึ้น มองว่ากลุ่มที่จะฟื้นตัวในครึ่งปีหลัง เช่น กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ และกลุ่มอาหาร
นอกจากนี้ วันที่ 28 มิ.ย. 67 จะมีการเข้าประชุมกับกระทรวงการคลัง โดยจะหารือเพิ่มเติมถึงกองทุนรวมเพื่อส่งเสริมการออมระยะยาว (SSF) ซึ่งสิทธิในการซื้อเพื่อลดหย่อนภาษีฯ จะสิ้นสุดในปี 2567 นี้ และหารือว่าจะมีการปรับเกณฑ์เพื่อให้เข้าถึงกลุ่มคนรุ่นใหม่มากขึ้นหรือมีแนวทางอื่นๆ
ขณะที่การปรับเกณฑ์กองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืน หรือ Thai ESG เป็นเรื่องดี เพราะมีการลงทุนในหุ้นไทยเหมือนกับ LTF แต่จะเน้นเรื่อง ESG มากขึ้น ขณะเดียวกันจะมีการหารือถึงโอกาสในการพัฒนากองทุนใหม่ๆ รวมถึงพร้อมพูดคุยถึงการตั้งกองทุนใหม่เบื้องต้นคาดว่าอาจมีมูลค่า 1.5 แสนล้านบาท ที่จะมีแนวทางเดียวกับกองทุนวายุภัค
เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : ‘คลัง-ก.ล.ต.-ตลท. เปิดเงื่อนไขใหม่กองทุนลดภาษีฯ Thai ESG 'ซื้อสูงสุด 3 แสน-หั่นเวลาเหลือ 5 ปี'
ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine