Fed หั่นดอกเบี้ยต่อ 0.25% ในการประชุมล่าสุด แต่รอบต่อไปยังต้องลุ้นเงินเฟ้อ-นโยบายของทรัมป์ - Forbes Thailand

Fed หั่นดอกเบี้ยต่อ 0.25% ในการประชุมล่าสุด แต่รอบต่อไปยังต้องลุ้นเงินเฟ้อ-นโยบายของทรัมป์

หลัง Fed ลดดอกเบี้ย 0.25% มาสู่ระดับ 4.50-4.75% โดยตลาดเชื่อว่า Fed จะพักเบรคการลดดอกเบี้ยในการประชุมเดือน ธ.ค. 2024 อย่างไรก็ตาม ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า การปรับลดดอกเบี้ยของ Fed ในระยะต่อไปจะขึ้นอยู่กับตัวเลขเศรษฐกิจและเงินเฟ้อที่ออกมาเป็นหลัก และต้องติดตามนโยบายของรัฐบาลสหรัฐฯ ภายใต้ประธานาธิบดีทรัมป์ที่อาจเร่งเงินเฟ้อให้สูงขึ้นในระยะข้างหน้า


    ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เปิดเผยว่า ผลการประชุม FOMC 6-7 พ.ย. 2567 ที่ผ่านมา ธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) มีมติเป็นเอกฉันท์ให้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% จากระดับ 4.75-5.00% สู่ระดับ 4.50-4.75% เพื่อสนับสนุนการบรรลุเป้าหมายการจ้างงานสูงสุดและเป้าหมายอัตราเงินเฟ้อที่อัตรา 2% ในระยะยาว ท่ามกลางแนวโน้มเศรษฐกิจที่ยังไม่แน่นอน ขณะเดียวกัน Fed จะยังคงลดการถือครองพันธบัตรรัฐบาลพันธบัตรรัฐวิสาหกิจ และหลักทรัพย์ค้ำประกัน (Mortgage-Backed Security: MBS) ต่อไป

    ทั้งนี้ Fed มองผลการเลือกตั้งไม่มีผลต่อทิศทางนโยบายการเงินในระยะสั้น และ ณ ปัจจุบันยังไม่มีความกังวลว่าทิศทางเงินเฟ้อจะเร่งสูงขึ้นจากผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ 

    อย่างไรก็ดี ในแถลงการครั้งนี้ Fed มีการตัดข้อความว่า “คณะกรรมการมีความมั่นใจมากขึ้นว่าอัตราเงินเฟ้อมีแนวโน้มลดลงสู่ระดับ 2% อย่างยั่งยืน” ออกไป โดย Fed มองว่าเงินเฟ้ออาจเร่งสูงขึ้นในช่วงที่เหลือของปีจากปัจจัยฐานต่ำในช่วงปลายปี 2023 แต่อัตราเงินเฟ้อในช่วงต้นปี 2025 คาดว่าจะกลับมาชะลอลงและแนวโน้มเงินเฟ้อในภาพรวมยังคงลดลงสู่เป้าหมาย

    อย่างไรก็ดี ตลาดมองโอกาสที่ Fed จะหยุดจังหวะการลดดอกเบี้ยในการประชุมเดือน ธ.ค. 2024 มีมากขึ้น โดยจากข้อมูล CME FedWatch Tool (7 พ.ย. ณ 9:00 น. ตามเวลาสหรัฐฯ Central Time) ตลาดมองโอกาส Fed คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายในการประชุมเดือน ธ.ค. 2024 อยู่ที่ 29% และมองโอกาส Fed ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 25 bps อยู่ที่ 71%

    ทั้งนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่าการปรับลดดอกเบี้ยในระยะข้างหน้าคงขึ้นอยู่กับตัวเลขเศรษฐกิจและเงินเฟ้อที่ออกมาเป็นสำคัญ ประกอบกับคงต้องติดตามนโยบายของรัฐบาลสหรัฐฯ ภายใต้ประธานาธิบดีทรัมป์ที่อาจเป็นปัจจัยผลักดันเงินเฟ้อให้เร่งสูงขึ้นในระยะข้างหน้า

    ทั้งนี้ หลังผลการประชุม FOMC ออกมา ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ตอบรับเป็นบวก โดยดัชนี S&P 500 และดัชนีแนสแดคปรับเพิ่มขึ้นต่อเนื่องมาแตะระดับสูงสุดใหม่ ขณะที่ดัชนีดาวโจนส์ไม่เปลี่ยนแปลงจากระดับปิดในวันก่อนหน้า หลังจากพุ่งขึ้นกว่า 1,500 จุดหลังผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ออกมา ขณะที่ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ และอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ย่อตัวลงเล็กน้อย หลัง Fed ส่งสัญญาณปรับลดดอกเบี้ยนโยบาย และไม่กังวลเกี่ยวกับแรงกดดันด้านเงินเฟ้อจากนโยบายของรัฐบาลใหม่



ภาพ: ​federalreserve



เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : Pet tourism เทรนด์ที่มาพร้อมโอกาสทางธุรกิจ เมื่อเจ้าของต้องการเที่ยวกับสัตว์เลี้ยง

ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine