Entertainment Complex ศูนย์ความบันเทิงครบวงจรที่จะปั้นให้ประเทศไทยจะมี ‘กาสิโนถูกกฎหมาย’ กลายเป็นข้อถกเถียงในสังคม หลังจากช่วงที่ผ่านมาโครงการยักษ์ใหญ่นี้ได้รับการผลักดันอย่างต่อเนื่องจากรัฐบาลภายใต้การนำของ ‘แพทองธาร ชินวัตร’ นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบัน ที่มักเล่าถึงความจำเป็นว่าไทยต้องใช้ความบันเทิงเข้ามาดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติ และจะมีกาสิโนเพียง 10% ของพื้นที่เท่านั้น
ว่าแต่ รัฐบาลชุดปัจจุบันคาดหวังไว้ว่า Entertainment Complex และกาสิโนเหล่านี้จะสร้างเม็ดเงินลงทุนมาสู่ประเทศไทยมากแค่ไหน และจะสามารถแก้กฎหมายจนเริ่มเห็นโครงการนี้เป็นรูปเป็นร่างได้เมื่อไร
ไม่มีกาสิโน ใครจะอยากมาลงทุนเม็ดเงินมหาศาล
เริ่มกันที่ ‘จุลพันธ์ อมรวิวัฒน์’ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เล่าว่า ภายใน Entertainment Complex ที่จะเป็น Man-Made Destination ซึ่งมีทั้งสวนสนุก/สวนน้ำ, พิพิธภัณฑ์, สเตเดียมอเนกประสงค์ในร่ม, ห้างสรรพสินค้า, โรงภาพยนตร์, โรงแรม, คอนเสิร์ตฮอลล์, ศูนย์ประชุมขนาดใหญ่, ท่าจอดเรือยอชท์และท่าเรือสำราญ, กาสิโน ฯลฯ
เมื่อมีการสอบถามถึงความจำเป็นที่ต้องมีกาสิโนถูกกฎหมายภายใต้ Entertainment Complex นี้จุลพันธ์เล่าว่า “มันเป็นโมเดลทางธุรกิจซึ่งหากเราตัดในเรื่องของกาสิโนออกไป ก็ต้องยอมรับความจริงประเทศไทยเรา การลงทุนบางประเภทมันก็เกิดขึ้นไม่ได้ เราขอให้เอกชนมาลงทุน 30,000 - 40,000 ล้านเพื่อทำ Indoor Stadium ขนาด 70,000 ที่นั่ง ถามว่าใครจะมาลงทุน แล้วเขาจะคืนทุนได้อย่างไร เพราะฉะนั้นมันต้องเป็นองค์ประกอบที่รวมเข้าด้วยกันซึ่ง Business Model นี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ ต่างประเทศเขาก็ทำกันเป็นเรื่องปกติ”
ขณะที่บทบาทสำคัญของ Entertainment Complex ซึ่งจะเป็นการ ‘สร้างโอกาส’ ครั้งใหม่ เพื่อทำให้รายได้ต่อหัวนักท่องเที่ยวในประเทศมากขึ้น จากปัจจุบันอยู่ที่ 5,000 - 6,000 บาท (ในการแถลงข่าวระบุว่าต่อวัน) เชื่อว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 22,300 บาท/คน/ทริป ซึ่งการมี Entertainment Complex หวังว่าจะแก้ปัญหาที่กว่า 15 ปีมานี้แม้จะมีนักท่องเที่ยวเข้าประเทศในเชิงจำนวนเพิ่มขึ้นแต่รายได้ต่อหัวไม่เพิ่ม รวมถึงเชื่อว่าจะช่วยปิดช่องว่างช่วง Low Season ของไทยที่เกิดขึ้นช่วงฤดูฝน

กาสิโนไทยจะใช้โมเดล ‘สิงคโปร์ - UAE - ญี่ปุ่น’
‘ศึกษิษฏ์ ศรีจอมขวัญ’ รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี เล่าถึง รูปแบบการพัฒนากาสิโนทั่วโลกมี 3 โมเดลหลักคือ
1) การเปิดใบอนุญาตฯ จำนวนมาก กระจายตาม Lobby โรงแรม ในหลายจังหวัด
2) สร้างไว้ในที่ที่ห่างไกลเหมือน Las Vegas (ที่อยู่กลางทะเลทราย) และหวังว่าความเจริญจะกระจายออกไป
3) การจำกัดจำนวนใบอนุญาตฯ และบังคับให้เป็นการลงทุนขนาดใหญ่ เช่น 100,000 ล้านบาทขึ้นไป ซึ่งเป็นโมเดลที่เกิดขึ้นในสิงคโปร์ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE) และญี่ปุ่นกำลังทำ
ทั้งนี้ ไทยเลือกรูปแบบที่ 3 เพราะเชื่อว่าโมเดลนี้จะมาพร้อมกับการลงทุนขนาดใหญ่ที่เข้ามา และสามารถยกระดับตัวอุตสาหกรรมขึ้นมาทั้งหมด จากการเลือกผู้ประกอบการที่มีมาตรฐานการกํากับดูแลระดับโลก นอกจากนี้จุดที่ไทยกำลังศึกษาอยู่ใกล้กับแหล่งคมนาคมขนส่ง และสถานที่ท่องเที่ยวอื่นๆ
“เพราะเราตั้งใจว่า เมื่อมี Entertainment Complex แล้ว นอกจากเราจะดึงเม็ดเงินลงทุนเข้ามา เราต้องการให้ผู้คนมาเที่ยวที่นี่แล้วก็ไปเที่ยวในแหล่งท่องเที่ยวข้างๆ ด้วย โดยกระจายรายได้ออกไปให้ทุกภาคส่วนกว้างขวางที่สุด” นายศึกษิษฏ์กล่าว

ถ้าเกิดจริง! คาดเม็ดเงินลงทุนเข้าไทยกว่าแสนล้าน
ศึกษิษฏ์ เล่าถึงโอกาสของ Entertainment Complex ผ่านรายได้ต่อปีของหลายประเทศ ตัวอย่างเช่นในปี 2565 เพื่อนบ้านใกล้ไทยอย่างประเทศอินโดนีเซียอยู่ที่ 140,000 ล้านบาท/ปี, เวียดนาม อยู่ที่ 180,000 ล้านบาท/ปี, เกาหลีใต้อยู่ที่ 320,000 ล้านบาท/ปี, สิงคโปร์อยู่ที่ 430,000 ล้านบาท/ปี และมาเก๊าอยู่ที่ 1.2 ล้านล้านบาท/ปี นอกจากนี้ประเทศญี่ปุ่นกำลังจะเปิดโครงการในปี 2030 และ UAE กำลังเตรียมโครงการอยู่
เบื้องต้นหาก Entertainment Complex เกิดขึ้นจริงในไทยคาดว่าจะมีเม็ดเงินลงทุนด้านเศรษฐกิจในไทยกว่า 100,000 ล้านบาท และเมื่อเปิดให้บริการแล้วก็จะสามารถหนุน GDP ที่ 0.2-0.8% เชื่อว่าจะสร้างรายได้ด้านการท่องเที่ยว 100,000 - 200,000 ล้านบาท จากจำนวนนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น 5-20% ต่อปี และจำนวนนักท่องเที่ยวช่วง Low Season จะเพิ่มขึ้น 13% ส่วนการจ้างงานเพิ่มขึ้น 9,000 - 15,000 ตำแหน่ง

กว่าจะมีกาสิโนในไทย เฉพาะแผนงานคาดใช้เวลา 3 ปี
ฝั่งจุลพันธ์ เล่าว่า เรื่อง พ.ร.บ. Entertainment Complex เราไม่ได้เร่งรัด แต่จะเรื่องแรกของสมัยประชุมสภาผู้แทนราษฎรที่จะเปิดมาในช่วงก.ค. 2568 ซึ่งเมื่อเปิดจะมีการพิจารณาวาระหนึ่งตั้งคำกรรมาธิการ และจะใช้เวลาเป็นปีกว่ากฎหมายจะจบทั้งขั้นตอนของสภา และขั้นตอนของวุฒิสภา เพราะเรื่องนี้ถือเป็นกฎหมายที่มีความซับซ้อนต้องมีการถกและปรับแก้กันอย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ หากกฎหมายเสร็จสิ้นจะมีขั้นตอนในการตั้งคณะกรรมการระดับชาติขึ้นมา ต้องมีการศึกษาความเป็นไปได้ในแต่ละจุด เช่น สนามกีฬา สวนสนุก ฯลฯ และจะออก Terms of Reference (TOR ) มา ดังนั้นในภาพรวมกฎหมาย Entertainment Complex อาจต้องใช้เวลาอีกหลายปี เฉพาะแผนการทำงานคาดว่าจะกินเวลาราว 3 ปี
อย่างไรก็ตามด้วยอายุของสภาฯ ที่มีจำกัดอีก 2 ปี หากตัวกฎหมายไม่เสร็จสิ้นอาจต้องเริ่มต้นใหม่ เพราะฉะนั้นหากเป็นไปได้ก็คงจะดำเนินการโดยเฉพาะในเรื่องของตัวกฎหมายเนี่ยให้เสร็จในสมัยของรัฐบาลชุดนี้
ภาพ: กระทรวงการคลัง, ออกแบบภาพปกโดย ธัญวดี นิรุติศาสตร์
เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : ‘Entertainment Complex’ กาสิโนไทย โอกาสหรือความเสี่ยงของคนไทย
ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine