เศรษฐกิจไทย ไตรมาส 1 ปี 2020 หดตัวที่ -1.8% นับเป็นการเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอยทางเทคนิคแล้ว หลัง GDP แบบ %QOQ sa หดตัวติดต่อกัน 2 ไตรมาส
เศรษฐกิจไทย ไตรมาส 1 ปี 2020 หดตัวที่ -1.8%YOY เป็นการหดตัวครั้งแรกตั้งแต่ไตรมาสที่ 1 ปี 2014 และหดตัวมากที่สุดตั้งแต่ไตรมาส 4 ปี 2011 ที่ไทยประสบปัญหาน้ำท่วมใหญ่ และถือว่าเศรษฐกิจไทยเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอยแล้ว (Recession) จากการที่เศรษฐกิจหดตัวเทียบกับไตรมาสก่อนหน้าแบบปรับฤดูกาล (%QOQ sa) ติดต่อกัน 2 ไตรมาส (ไตรมาสที่ 4 ปี 2019 -0.2%QOQ sa และไตรมาสที่ 1 ปี 2020 -2.2%QOQ sa)
เศรษฐกิจไทยด้านการใช้จ่าย (Expenditure Approach) ได้รับแรงกดดันจากภาคส่งออก ภาคท่องเที่ยว และการลงทุนภาคเอกชน ที่ได้รับผลกระทบจาก COVID-19 และรวมถึงรายจ่ายภาครัฐที่ลดลงจากความล่าช้าของการจัดทำ พ.ร.บ. งบประมาณปี 2020
มูลค่าการส่งออกสินค้าและบริการที่แท้จริงหดตัวต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่ 2 ที่ -6.7%YOY
-การส่งออกภาคบริการหรือการท่องเที่ยวหดตัวกว่า -29.8%YOY ซึ่งได้รับผลกระทบจากมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของ COVID-19 ที่ทำให้จำนวนนักท่องเที่ยวลดลงไปถึง -38.0%YOY ในช่วงไตรมาสแรกที่ผ่านมา
-แม้ว่ามูลค่าที่แท้จริงของการส่งออกสินค้าจะขยายตัวที่ 2.0%YOY แต่มาจากการส่งออกทองเป็นหลัก โดยการส่งออกทองคำจะไม่ถูกนับเป็นกิจกรรมทางเศรษฐกิจ โดยหากหักผลของทอง มูลค่าการส่งออกในช่วงไตรมาสแรกจะหดตัว -1.3%YOY โดยเป็นการหดตัวของหลายสินค้าส่งออกสำคัญ อาทิ ข้าว รถยนต์ และเคมีภัณฑ์ เป็นต้น ขณะที่สินค้าประเภทอิเล็กทรอนิกส์ขยายตัวได้ดี จากอานิสงส์ของการ work from home ทั่วโลก ที่ทำให้มีความต้องการสินค้าอิเล็กทรอนิกส์มากขึ้น
การลงทุนภาคเอกชนพลิกกลับมาหดตัว -5.5%YOY หลังจากขยายตัว 2.6%YOY ในไตรมาสก่อนหน้า โดยเป็นการหดตัวทั้งในส่วนของลงทุนก่อสร้าง (-4.3%YOY) และลงทุนเครื่องมือเครื่องจักร (-5.7%YOY) โดยเฉพาะในหมวดรถยนต์
ความล่าช้าของการอนุมัติ พ.ร.บ. งบประมาณปี 2020 ส่งผลให้การบริโภคและการลงทุนภาครัฐหดตัวต่อเนื่องจากไตรมาสก่อนหน้า โดยรายจ่ายอุปโภคบริโภคของรัฐบาลดลง -2.7%YOY ขณะที่การลงทุนภาครัฐหดตัวที่ -9.3%YOY ปัจจัยหลักมาจากการก่อสร้างของรัฐบาลที่หดตัวสูงถึง -29.6%YOY แม้จะมีการขยายตัวของการก่อสร้างรัฐวิสาหกิจที่ขยายตัว 20.8%YOY ส่วนด้านการลงทุนเครื่องมือเครื่องจักรภาครัฐขยายตัวที่ 4.2%YOY
การใช้จ่ายเพื่อบริโภคภาคเอกชนขยายตัวชะลอลงที่ 3.0%YOY โดยการขยายตัวมาจากใช้จ่ายซื้อสินค้าไม่คงทน ขณะที่การใช้จ่ายซื้อสินค้าคงทนและกึ่งคงทนมีการหดตัวลงตามกำลังซื้อของครัวเรือนที่ชะลอตัวลง และผลกระทบของการแพร่ระบาดของ COVID-19 ที่เริ่มส่งผลในช่วงปลายไตรมาส
ในด้านการผลิต (Production Approach) ภาคเกษตรหดตัวมากจากผลของภัยแล้ง ภาคการผลิตอุตสาหกรรมหดตัวตามการส่งออก ส่วนด้านบริการที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวมีการหดตัวในระดับสูง ขณะที่การก่อสร้างหดตัวมากจากทั้งการลดลงของการก่อสร้างภาคเอกชนและภาครัฐ
ภาคการเกษตรหดตัวต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่ 2 ที่ -5.7%YOY จากปัญหาภัยแล้งที่ทำให้ผลผลิตสินค้าเกษตรสำคัญลดลง อาทิ ข้าว อ้อย และมันสำปะหลัง เป็นต้น
การผลิตสินค้าอุตสาหกรรมหดตัวต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่ 3 ที่ -2.7%YOY ตามการลดลงของภาคส่งออก รวมถึงเศรษฐกิจในประเทศที่ค่อนข้างซบเซา โดยสินค้าสำคัญที่การผลิตหดตัว เช่น ยานยนต์ อาหาร การกลั่นน้ำมันปิโตรเลียม เคมีภัณฑ์ และยางและพลาสติก
สาขาที่พักแรมและอาหารพลิกกลับมาหดตัวสูงถึง -24.1%YOY หลังจากขยายตัว 6.8%YOY ในไตรมาสก่อนหน้า ซึ่งเป็นผลจากการการแพร่ระบาดของ COVID-19 และมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดทั้งในประเทศและต่างประเทศที่ส่งผลทำให้นักท่องเที่ยวลดลงเป็นอย่างมาก
สาขาการขนส่งและจัดเก็บสินค้าลดลง -6.0%YOY โดยปัจจัยสำคัญมาจากการการหดตัวของการขนส่งทางบก (-4.2%YOY) และการขนส่งทางอากาศ (-20.8%YOY) ซึ่งได้รับผลกระทบจากทั้งนักท่องเที่ยวในประเทศและต่างประเทศที่ลดลง รวมถึงปริมาณการขนส่งสินค้าทั้งสินค้าเกษตรและสินค้าอุตสาหกรรม
ก่อสร้างหดตัวต่อเนื่องที่ -9.9%YOY ทั้งจากการลดลงของการก่อสร้างภาคเอกชนตามภาวะเศรษฐกิจในประเทศ และภาครัฐจากการอนุมัติงบประมาณที่ล่าช้า
อย่างไรก็ดี การผลิตในหลายสาขายังขยายตัวแม้จะชะลอลง โดยสาขาสำคัญได้แก่ การขายส่งและขายปลีกที่ขยายตัว 4.5%YOY ชะลอลงจากที่ขยายตัว 5.2%YOY ในไตรมาสก่อนหน้า โดยการขยายตัวที่ชะลอลงได้รับแรงกดดันจากมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของไวรัสและการลดลงของนักท่องเที่ยวต่างประเทศ
เศรษฐกิจไทยไตรมาสแรกของปี 2020 ได้รับผลกระทบโดยตรงจาก COVID-19 ผ่านภาคการท่องเที่ยวและการส่งออกสินค้าเป็นสำคัญ สังเกตได้จากภาคการผลิตด้านโรงแรมและภัตตาคารที่หดตัวไปกว่า -24.1%YOY
ขณะที่ด้านการส่งออก แม้ในภาพรวมจะสามารถขยายตัวได้ในช่วงไตรมาสแรก แต่การขยายตัวส่วนใหญ่มาจากการส่งออกทองคำที่จะไม่ถูกนับเป็นกิจกรรมทางเศรษฐกิจ โดยหากหักทองคำ มูลค่าการส่งออกจะหดตัว ซึ่งส่งผลให้การผลิตภาคอุตสาหกรรมในภาพรวมลดลง -2.7%YOY
อย่างไรก็ดี เศรษฐกิจไทยในช่วงไตรมาสแรกได้รับผลบวกจากการบริโภคสินค้าจำเป็น (Non-discretionary items) ซึ่งส่วนหนึ่งเกิดจากการกักตุนสินค้าก่อนที่จะมีการปิดเมือง นอกจากนี้ สินค้าที่เกี่ยวข้องกับการใช้ชีวิตในบ้านและ work from home ก็มีการขยายตัวเพิ่มขึ้น เช่น ค่าน้ำ ค่าไฟ เฟอร์นิเจอร์ และการสื่อสาร (ค่าอินเทอร์เน็ต) เป็นต้น
ในระยะต่อไป EIC คาดเศรษฐกิจไทยจะหดตัวมากสุดในช่วงไตรมาส 2 ของปี 2020 จากผลกระทบมาตรการปิดเมือง (Lockdown) ทั่วโลก โดยการปิดเมืองจะทำให้เกิดการหยุดชะงักของกิจกรรมเศรษฐกิจทั่วโลก (sudden stop) ซึ่งจะส่งผลกระทบโดยตรงต่อภาคส่งออกของไทย ผ่านเศรษฐกิจโลกที่หดตัวและปัญหาด้าน supply chain disruption
โดยจากรูปที่ 4 จะเห็นได้ว่าเครื่องชี้การส่งออกของโลก (Global PMI: Export orders) ในเดือนเมษายนลดลงอย่างรวดเร็ว สะท้อนว่าการส่งออกในช่วงไตรมาส 2 จะหดตัวในระดับสูง
นอกจากการส่งออกที่มีแนวโน้มลดลง ภาคท่องเที่ยวของไทยก็จะหดตัวในระดับสูงเช่นกัน โดยการปิดการเดินทางเข้าออกประเทศของไทย ทำให้จำนวนนักท่องเที่ยวหายไปเกือบ 100% ในช่วงปลายเดือนมีนาคมจนถึงปัจจุบัน
ประกอบกับการปิดเมืองที่ห้ามการเดินทางข้ามจังหวัด ก็จะเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้ภาคการท่องเที่ยวของไทยได้รับผลกระทบอย่างหนัก รวมถึงภาคขนส่ง และการค้าขายหลายประเภทที่ต้องปิดกิจการชั่วคราว ซึ่งล้วนเป็นปัจจัยสำคัญที่จะทำให้เศรษฐกิจไทยไตรมาส 2 หดตัวลึกที่สุดในปีนี้
ทั้งนี้ EIC คาดว่าเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มฟื้นตัวอย่างช้าๆ ในช่วงครึ่งหลังของปี บนสมมติฐานสำคัญว่าจะต้องไม่มีการระบาดอีกรอบของ COVID-19 อย่างไรก็ดี แม้เศรษฐกิจครึ่งปีหลังจะมีแนวโน้มฟื้นตัวจากช่วงไตรมาส 2 (%QoQ sa เป็นบวก) แต่หากคำนวณเทียบกับปีก่อนหน้า คาดว่าเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มหดตัวทั้งปี 2020 นี้ (%YOY เป็นลบ)
เม็ดเงินจากมาตรการภาครัฐจะมีส่วนอย่างมากในการประคับประคองเศรษฐกิจไทยในปี 2020 โดยมาตรการที่จะมีผลต่อภาคเศรษฐกิจปีนี้คือ พ.ร.ก. กู้เงินในวงเงิน 1 ล้านล้านบาท ที่แบ่งเป็นสองส่วนคือ
1.วงเงินสำหรับช่วยเหลือรายได้ต่อผู้ที่ได้รับผลกระทบและเกษตรกรวงเงินกว่า 5.55 แสนล้านบาท ซึ่งมีการเบิกจ่ายเงินบางส่วนไปแล้วตามนโยบายช่วยเหลือเงินผู้ได้รับผลกระทบเดือนละ 5 พันบาทต่อคน เป็นเวลา 3 เดือน นอกจากนี้ รัฐบาลยังได้ประกาศช่วยเหลือเกษตรกรในจำนวนเงินเท่ากันที่ 5 พันบาทต่อคน ในระยะเวลา 3 เดือน
2.วงเงินสำหรับฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมอีก 4 แสนล้านบาท โดยเม็ดเงินจำนวน 1 ล้านล้านบาท จะไม่ได้เข้าสู่เศรษฐกิจปีนี้ทั้งหมด แต่จะทยอยเข้าพยุงเศรษฐกิจในช่วงปัจจุบันจนถึงเดือนกันยายนปี 2021 ขึ้นอยู่กับแนวนโยบายของรัฐบาล
ซึ่ง EIC ประเมินว่าเม็ดเงินดังกล่าวเป็นเม็ดเงินที่ใหญ่พอสมควร จึงน่าจะมีส่วนช่วยพยุงเศรษฐกิจไทยในปี 2020 นี้ได้ระดับหนึ่ง ซึ่งต้องมีการติดตามอย่างใกล้ชิดต่อไปถึงขนาดเม็ดเงินและรายละเอียดนโยบายที่จะมีการจัดทำในระยะต่อไป
- อ่านเพิ่มเติม สภาพัฒน์ คาดจีดีพีปีนี้ติดลบ 5-6%
ไม่พลาดบทความด้านธุรกิจ ติดตามได้ที่ Facebook: Forbes Thailand Magazine