ในยุคที่เทคโนโลยีดิจิทัลพัฒนาอย่างรวดเร็ว โลกการลงทุนและตลาดทุนก็ไม่อาจหยุดนิ่งได้ เทคโนโลยีใหม่ ๆ เช่น บล็อกเชน ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และสัญญาอัจฉริยะ (Smart Contracts) จึงเข้ามามีบทบาทสำคัญที่จะช่วยเปลี่ยนแปลงรูปแบบหรือวิธีการที่ผู้ลงทุนเข้าถึงข้อมูล การซื้อขายหลักทรัพย์ การจัดการสินทรัพย์ต่าง ๆ ตลอดจนระบบที่เกี่ยวข้องกับการทำงานของตัวกลางที่อยู่ในตลาดทุน
การเปลี่ยนแปลงของตลาดทุนเมื่อเข้าสู่ยุคดิจิทัล
ที่ผ่านมากลไกของตลาดทุนส่วนใหญ่จะต้องผ่านตัวกลางประเภทต่าง ๆ ซึ่งปัจจุบันตลาดทุนทั่วโลกหลายแห่งกำลังเปลี่ยนแปลงไปสู่การใช้แพลตฟอร์มดิจิทัลและสินทรัพย์ดิจิทัล (Digital Assets) ซึ่งแนวโน้มนี้ไม่เพียงแต่ช่วยให้การลงทุนสะดวกและรวดเร็วขึ้น แต่ยังสร้างโอกาสใหม่ ๆ ทั้งในด้านการกระจายการลงทุน และเชื่อมโยงผู้ลงทุนเข้ากับตลาดทุนทั่วโลกได้อย่างมีประสิทธิภาพ
นอกจากนี้ การนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้อย่างเต็มรูปแบบในตลาดทุนยังช่วยลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพในการทำธุรกรรม อีกทั้งยังเปิดโอกาสใหม่ ๆ ในการเข้าถึงตลาดทุนของผู้ลงทุนหลากหลายกลุ่ม สร้างความยืดหยุ่น และขับเคลื่อนตลาดให้ก้าวไปข้างหน้าอย่างยั่งยืน
บทความนี้ จึงชวนมาสำรวจการเปลี่ยนแปลงของตลาดทุนเมื่อเข้าสู่ยุคดิจิทัล ทั้งในแง่มุมเกี่ยวกับการใช้เทคโนโลยีใหม่ ๆ รวมไปถึงการพัฒนาในด้านการกำกับดูแลของ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) และแนวโน้มในอนาคตของตลาดทุนที่กำลังพัฒนาอย่างรวดเร็ว
เทคโนโลยีดิจิทัลกับการพัฒนาตลาดทุน
ที่ผ่านมาเทคโนโลยีดิจิทัลได้ปฏิวัติรูปแบบการทำงานของตลาดทุนทั่วโลก จากการเปลี่ยนแปลงในรูปแบบการซื้อขายหลักทรัพย์ ไปจนถึงการใช้เทคโนโลยีบล็อกเชนในการสร้างความโปร่งใสและความปลอดภัยให้กับการลงทุน จึงเป็นบทบาทสำคัญของเทคโนโลยีที่กำลังขับเคลื่อนตลาดทุนดิจิทัล เช่น AI และ Big Data ที่ถูกนำมาใช้วิเคราะห์ข้อมูลเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการลงทุน ที่ช่วยให้ทั้งผู้ลงทุนหรือผู้บริหารสามารถตัดสินใจลงทุนได้ดีขึ้น
การใช้ AI ช่วยในการวิเคราะห์พฤติกรรมของผู้ลงทุน การทำนายแนวโน้มตลาด และการประเมินความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากการลงทุน หรือการใช้ข้อมูลจำนวนมหาศาล (Big Data) ที่สามารถเก็บรวบรวมจากแหล่งต่าง ๆ ทำให้สามารถสร้างโมเดลการคาดการณ์ที่แม่นยำยิ่งขึ้น ถือเป็นข้อได้เปรียบอย่างมากสำหรับโลกการลงทุนในยุคปัจจุบัน
บล็อกเชน (Blockchain) ซึ่งกลายเป็นหนึ่งในเทคโนโลยีที่ได้รับความนิยมในตลาดสินทรัพย์ดิจิทัล หรือการจัดการหลักทรัพย์ต่าง ๆ ที่เป็นกระบวนการ Post trade ด้วยคุณสมบัติที่ไม่สามารถแก้ไขหรือปลอมแปลงข้อมูลได้ บล็อกเชนจึงช่วยสร้างความโปร่งใสและความมั่นใจให้กับผู้ลงทุน นอกจากนี้ ยังมี Smart Contracts หรือสัญญาอัจฉริยะ ที่เป็นเครื่องมือที่ช่วยให้การทำธุรกรรมและการดำเนินการในตลาดทุนเป็นไปโดยอัตโนมัติ ลดข้อผิดพลาดจากการทำงานด้วยมือ และช่วยประหยัดเวลาและต้นทุนที่มักเกิดขึ้นในกระบวนการดั้งเดิม
ตัวอย่างเทคโนโลยีดิจิทัลที่กล่าวมาข้างต้นนี้เป็นเพียงแค่บางส่วนเท่านั้นที่ถูกนำมาใช้ยกระดับประสิทธิภาพของกระบวนการต่าง ๆ ในตลาดทุนทั่วโลก ด้วยวิสัยทัศน์ที่ว่า “ก.ล.ต. พร้อมรับการเปลี่ยนแปลง พัฒนาตลาดทุนและเศรษฐกิจของประเทศให้ยั่งยืน เป็นประโยชน์ต่อทุกภาคส่วน” สะท้อนถึงการที่ ก.ล.ต. ให้ความสำคัญกับประเด็นการเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจน ซึ่งการพัฒนาตลาดทุนดิจิทัลในประเทศไทยเกี่ยวข้องกับทั้งประเด็นการใช้เทคโนโลยีใหม่ ๆ ในตลาดทุน และการกำกับดูแลให้เท่าทันเพื่อให้มั่นใจว่าผู้ลงทุนจะได้รับการคุ้มครอง รวมถึงระบบต่าง ๆ ในตลาดทุนจะทำงานได้อย่างโปร่งใส และมีความยั่งยืน โดย ก.ล.ต. เป็นหน่วยงานที่ทำหน้าที่ขับเคลื่อนให้เกิดการพัฒนาและบังคับใช้กฎหมาย รวมถึงกฎระเบียบที่เอื้ออำนวยต่อการพัฒนาสู่ตลาดทุนดิจิทัล
หนึ่งในหมุดหมายสำคัญคือ การแก้ไขกฎหมายร่างพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. … เพื่อส่งเสริมตลาดทุนดิจิทัลและเพิ่มประสิทธิภาพการกำกับดูแลตลาดทุน เช่น การแก้ไขกฎหมายเพื่อรองรับการออกหลักทรัพย์โดยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ทั้งกระบวนการ
การขับเคลื่อนตลาดทุนดิจิทัลของไทยต้องเผชิญกับความท้าทายในหลายมิติ ซึ่งการพัฒนาและปรับปรุงกฎระเบียบให้ทันสมัยและเหมาะสมยังคงเป็นขั้นตอนสำคัญในการสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้ลงทุนและผลักดันตลาดทุนไทยไปสู่ตลาดทุนดิจิทัลที่ยั่งยืน
สำหรับคอลัมน์ “ตลาดทุนดิจิทัล โดย ก.ล.ต.” ทาง ก.ล.ต. จะมาอัพเดทเรื่องราวน่ารู้เกี่ยวกับตลาดทุนดิจิทัลอย่างต่อเนื่อง โดยในครั้งหน้าจะมาเล่าเจาะลึกถึงพัฒนาการสำคัญด้านการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีในตลาดทุนไทยและแผนการขับเคลื่อนตลาดทุนดิจิทัลของ ก.ล.ต. ในอนาคต
เรื่องและภาพ: สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.)
เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : ก.ล.ต. ปรับปรุงหลักเกณฑ์โฆษณาส่วนคำเตือนความเสี่ยงการลงทุนใน “โทเคนดิจิทัล”
ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine