เมื่อศาลการค้าสหรัฐฯ สั่งเลิก Trump Tariffs! เพราะ “ขัดต่อกฎหมาย” ทั่วโลก-ไทยจะรับมืออย่างไร - Forbes Thailand

เมื่อศาลการค้าสหรัฐฯ สั่งเลิก Trump Tariffs! เพราะ “ขัดต่อกฎหมาย” ทั่วโลก-ไทยจะรับมืออย่างไร

วันนี้ (29 พ.ค. 68) เกิดข่าวที่ทั่วโลกจับตามองอีกครั้ง เมื่อศาลการค้าระหว่างประเทศของสหรัฐฯ (US Court of International Trade) หรือ ศาลการค้าสหรัฐฯ ออกคำตัดสินว่า คำสั่งของประธานาธิบดี Trump ที่ใช้กฎหมายภาวะฉุกเฉินเพื่อเก็บภาษีนำเข้าแบบครอบคลุมทั่วโลก “ขัดต่อกฎหมาย”


    Forbes Thailand ชวนมาอ่านมุมมองจากเหล่านักวิเคราะห์ในประเทศไทย ว่าหลังจากนี้ทั่วโลกและเราจะต้องรับมืออย่างไร

    เบื้องต้นหลังเกิดข่าวนี้ในตลาดหุ้นทั่วโลก ทั้งตลาด Futures (ฟิวเจอร์ส) และตลาดหุ้นเอเชีย ส่วนใหญ่ตอบรับในเชิงบวก นักวิเคราะห์หลายฝ่ายมองว่าอาจเป็นการปรับขึ้นในช่วงสั้น และต้องติดตามว่าจะมีผลในระยะข้างหน้าเพียงใด เพราะยังมีความผันผวนและปัจจัยที่สร้างความไม่แน่นอนอีกมาก


เกิดอะไรขึ้นกับ ‘ภาษีทรัมป์’ ที่ถูกสั่งยกเลิก

    ดร.พิพัฒน์ เหลืองนฤมิตชัย หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร (KKP Research) เปิดเผยว่า ศาลการค้าสหรัฐฯ มีคำพิพากษาครั้งสำคัญในคดีที่กลุ่มผู้นำเข้าเอกชนและ 13 รัฐในสหรัฐฯ ยื่นฟ้องรัฐบาลกลาง กรณีประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ใช้อำนาจภายใต้กฎหมายภาวะฉุกเฉินเศรษฐกิจ (IEEPA) เพื่อออกคำสั่งเรียกเก็บภาษีนำเข้าจากทั่วโลกแบบ “จัดหนัก” โดยไม่มีขั้นตอนตามกฎหมายการค้าปกติ ซึ่ง IEEPA ไม่ได้ให้อำนาจประธานาธิบดีกว้างขนาดนี้

    จากคำสั่งนี้ส่งผลให้ภาษีที่ทรัมป์ประกาศเมื่อ 2 เม.ย. 68 เกือบทั้งหมดถูกระงับ ได้แก่ 

    1) Trafficking Tariffs ภาษีที่อ้างถึงกรณีสารเฟนทานิล ซึ่งจะเก็บภาษีจากจีน แคนาดา และเม็กซิโก)

    2) Worldwide Tariffs และ Retaliatory Tariffs ที่จะเก็บภาษี 10% กับสินค้าทุกประเทศทั่วโลกและเพิ่มเป็น 50% กับ 57 ประเทศ “ที่ขึ้นภาษีตอบโต้สหรัฐฯ”

    สถานการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นบทพิสูจน์ว่าคุณภาพของสถาบัน และความสามารถในการคานอำนาจอธิปไตยของสหรัฐฯ ยังมีอยู่ และการเก็บภาษีเป็นอำนาจของรัฐสภา ไม่ใช่ของประธานาธิบดีฝ่ายเดียว นอกจากนี้ศาลการค้าสหรัฐฯ ยังระบุถึงการคำว่า “ภาวะฉุกเฉิน” เพื่อเลี่ยงขั้นตอนปกติของกฎหมายการค้าถือว่าขัดหลักรัฐธรรมนูญ (ศาลอ้างอิงหลักการ separation of powers, nondelegation doctrine, และ major questions doctrine)

    ทั้งนี้ ดร. พิพัฒน์ สรุป 3 ผลของคำพิพากษาของศาลการค้าสหรัฐฯ ได้แก่

    - ศาลยกเลิกคำสั่งภาษีทั้งหมด (vacate)

    - สั่งห้ามรัฐบาลใช้คำสั่งนี้เก็บภาษีต่อไป

    - ผู้นำเข้าที่เสียภาษีไปแล้ว ยังไม่ได้คืนอัตโนมัติ แต่สามารถยื่นขอคืนเป็นกรณี ๆ ได้

    ล่าสุด ทางทรัมป์ได้ให้ทำเนียบขาวยื่นอุทธรณ์เรียบร้อยแล้ว ซึ่งเรื่องอาจยืดเยื้อไปถึงศาลฎีกา ส่งผลให้เกิดความไม่แน่นอนอย่างต่อเนื่อง


ตลาดหุ้นโลกขาขึ้น ราคาทองลง?

    ด้านบริษัทหลักทรัพย์บัวหลวง (บล.บัวหลวง) มองว่า สินทรัพย์ที่จะได้ผลกระทบด้านบวกในวันนี้คือ ตลาดหุ้นในฝั่งเอเชียน่าจะเห็นการซื้อกลับ ส่วนทองคำเริ่มเห็นการขายทำกำไร อาจเห็นแรงเทขายอย่างที่ราคาปรับลดลงในช่วงที่ผ่านมา (เมื่อคืนนี้ราคาทองคำโลกปิดที่ 3,286 เหรียญสหรัฐ/ออนซ์ ลดลงต่อเนื่องเป็นวันที่ 3) ขณะที่ตลาดพันธบัตรเห็นแรงเทขาย ภาพอัตราผลตอบแทนพันธบัตรน่าจะเป็น Sideway up (เคลื่อนไหวในกรอบแคบแต่เป็นลักษณะเอียงขึ้น)

    ขณะที่ทางธนาคารกสิกรไทยระบุว่า การระงับภาษีจะส่งผลเชิงบวกต่อสินทรัพย์เสี่ยงในระยะสั้น ลดแรงกดดันต่อเงินเฟ้อ และต้นทุนการผลิตในระยะสั้น แต่หากศาลสูงกลับคำตัดสินในอนาคต ตลาดอาจต้องเผชิญความผันผวนรอบใหม่ ขณะที่การอุทธรณ์ของฝ่าย Trump อาจใช้เวลาหลายเดือน และยังไม่สามารถบังคับใช้ภาษีที่ถูกตัดสินว่า “ผิดกฎหมาย” ได้จนกว่าจะมีคำสั่งใหม่


หลังจากนี้สถานการณ์จะไปทางไหน?

    ดร.พิพัฒน์ เล่าถึง 3 ทางเลือกที่ทำเนียบขาวยังมีอยู่ หลังศาลการค้าสหรัฐฯ ออกคำสั่งมา ได้แก่ 

    1. ออกคำสั่งภาวะฉุกเฉินใหม่ ที่มีเหตุผลและขอบเขตชัดเจนมากขึ้น แต่ถือว่ายาก เพราะศาลระบุว่าต้อง ‘ฉุกเฉินจริงๆ’ และอำนาจก็ไม่ได้ครอบจักรวาล

    2. ใช้กฎหมายการค้าอื่น เช่น Section 301 หรือ Section 232 ที่มีขั้นตอนรองรับ คล้ายกับที่เคยมีปัญหากับจีนสมัย Trade war 1.0 แต่ต้องมีการพิสูจน์ทีละประเทศ และอาจต้องทำทีละผลิตภัณฑ์   

    3. ขออำนาจเพิ่มเติมจากรัฐสภา ผ่านกระบวนการนิติบัญญัติ (แต่การเมืองอาจไม่เอื้ออำนวย)

    อย่างไรก็ตาม ทั่วโลกยังต้องรอดูท่าทีของศาลการค้าสหรัฐฯ ก่อนตัดสินใจเชิงนโยบาย ซึ่งในปัจจุบันแม้หลายประเทศจะมีการเจรจากับสหรัฐฯ ในหลักการแล้ว แต่ยังไม่มีการลงนามเงื่อนไขทางภาษี ไม่ว่าจะเป็น อังกฤษ, จีน ฯลฯ

    ขณะที่ด้านการลงทุน ธนาคารกสิกรไทยมองว่าภาพรวมของสินทรัพย์สหรัฐฯ อาจได้ Sentiment บวกระยะสั้น แต่ความเสี่ยงด้านนโยบายยังคงอยู่ ควรเน้นการกระจายความเสี่ยงระหว่างภูมิภาคและประเภทสินทรัพย์ ฝั่งภาคธุรกิจที่พึ่งพาการนำเข้าอาจได้แรงหนุนเชิงบวกชั่วคราวหากต้นทุนลดลง แต่ยังต้องวางแผนรับมือความไม่แน่นอนระยะกลาง

    ฟากนักลงทุนควรจับตาคำตัดสินในศาลอุทธรณ์ที่จะเกิดขึ้น โดยหากมีสัดส่วนการลงทุนในกองทุนหุ้นสหรัฐฯ มากกว่า 20% แนะนำขายเพื่อลดความผันผวนของพอร์ต และนำเงินไปพักไว้ในกองทุนตราสารหนี้ระยะสั้น อีกทั้งยังแนะนำชะลอการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงอย่างกองทุนหุ้นสหรัฐฯ โดยต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด



ภาพ: AFP



เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : สรุปมุมมองแบงก์ชาติ กรณีสงครามการค้ากระทบไทย เมื่อ ‘ใจ’ ทรัมป์เปลี่ยนไปมา

ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine