CIMBT ลุยขยายลูกค้า Wealth โต 12-13% แนะเพิ่มเงินฝากฯ เสริมยืดหยุ่น - สู้ความไม่แน่นอน - Forbes Thailand

CIMBT ลุยขยายลูกค้า Wealth โต 12-13% แนะเพิ่มเงินฝากฯ เสริมยืดหยุ่น - สู้ความไม่แน่นอน

ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย ตั้งเป้าปี 2567 Wealth Management โต 12-13% AUM ทะยาน 408,000 ล้านบาท เล็งขยายฐานเงินฝากออมทรัพย์ให้ยืดหยุ่นรับสถานการณ์ไม่แน่นอน แต่ยังแนะนำหุ้นกู้ที่มีผลตอบแทน 3 - 6% ต่อปี เพื่อเพิ่มโอกาสสร้างผลตอบแทน


    ติยะชัย ชอง ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารผลิตภัณฑ์การออมธุรกิจรายย่อย ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย (CIMBT) กล่าวว่า ปี 2567 นี้ ตั้งเป้าหมายธุรกิจบริหารความมั่งคั่ง หรือ Wealth Management อย่างต่อเนื่อง โดยคาดว่าสินทรัพย์ภายใต้การบริหาร (AUM) จะเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 408,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12-13% จากปีก่อนหน้า และขยายฐานลูกค้า Preferred ที่มีอยู่หลักแสนรายในปัจจุบัน (AUM ตั้งแต่ 1 ล้านบาทขึ้นไป)

    ในปี 2567 ท่ามกลางความไม่แน่นอน และสถานการณ์เงินเฟ้อ อัตราดอกเบี้ยนโยบายที่อาจเปลี่ยนแปลง จึงมองว่าควรมีความยืดหยุ่น ปีนี้จะเน้นแนะนำลูกค้าเรื่องเงินฝากออมทรัพย์ให้มากกว่าเงินฝากประจำ ส่วนหนึ่งเพราะหากมีการฝากระยะเวลานานอาจทำให้เสียโอกาสเมื่อสถานการณ์เปลี่ยน

    ขณะที่ภาพรวมทั้งปี 2567 นี้ คาดว่าเงินฝากออมทรัพย์ทั้งระบบจะเติบโต 5 - 10% แต่ในส่วนของ CIMBT พบว่า เงินฝากออมทรัพย์ทั้งหมด (ไม่รวมนิติบุคคล) ของ CIMBT อยู่ที่ 90,000 ล้านบาท เติบโต 20% จากสิ้นปี 2566 ที่อยู่ราว 70,000 ล้านบาท ซึ่งมีสัดส่วนลูกค้า Preferred คิดเป็น 70% ของฐานนี้)

    อย่างไรก็ตาม ในด้านการลงทุนปัจจุบันฐานลูกค้าของธนาคารฯ ส่วนใหญ่จะมีการลงทุนอยู่แล้ว โดยสัดส่วนเงินฝากอย่างเดียวมีเพียง 15% เท่านั้น โดยปีนี้จะมีแคมเปญเงินฝากที่จะมุ่งสร้างพฤติกรรมให้เกิดการออมและการลงทุนอยู่เสมอ เช่น การให้ Bonus Rate ในเงินฝากเป็นโมเดลที่ปรับใช้จากต่างประเทศ อย่างการให้อัตราดอกเบี้ยเงินฝากที่สูงช่วง 4 เดือนแรก จากนั้นจะช่วยแนะนำการจัดพอร์ตในลูกค้าอย่างต่อเนื่อง เพื่อเชื่อมไปยังผลิตภัณฑ์อื่นๆ และเป็นช่องทางดึงดูดเงินใหม่เข้ามา

    ดังนั้น ปัจจุบันทางธนาคารมีอัตราดอกเบี้ยเงินฝากระดับสูง เช่น ChillD ที่ 2.88% ต่อปี (สำหรับยอดเงินฝากที่ 50,000 - 100,000 บาท) หรือ Speed Saving ที่ให้อัตราดอกเบี้ยฯ 2.2% ในช่วง 4 เดือนแรก (สำหรับยอดเงินฝากที่ 3 - 50 ล้านบาท) ฯลฯ

    จากนั้นอาจพุดคุยกับลูกค้าเพื่อหาผลิตภัณฑ์อื่นที่ช่วยเพิ่มผลตอบแทนให้ลูกค้า เช่น หุ้นกู้ที่มีผลตอบแทน 3 - 6% ต่อปี หรือหุ้นกู้ในต่างประเทศที่อาจมีผลตอบแทนราว 7 - 8% ต่อปี ซึ่งปัจจุบันลูกค้า High net worth เริ่มกลับมาลงทุนแล้วแม้ปีก่อนอาจมีคนเจ็บตัวจากจีน ฯลฯ แต่หากมองการลงทุนในระยะยาวยังมองว่าเป็นโอกาสที่ดีในการลงทุนในหลายธุรกิจ

    ทั้งนี้ ทางธนาคารจะมีการคัดกรองความเสี่ยงทั้งทีมไทยและทีมในภูมิภาค ซึ่งจะไม่พิจารณาจาก Rating เพียงอย่างเดียวแต่ต้องดูความเสี่ยง แนวโน้ม และการสร้างรายได้ในอนาคตประกอบด้วย ในส่วนหุ้นกู้ทั้งตลาดแรกและตลาดรอง ด้านรายได้ปี 2567 คาดว่าจะเติบโต 25-30% จากปี 66

    นอกจากนี้หากลูกค้ามีความต้องการอื่น เช่น ประกันภัย Unit link หรือเพื่อการส่งต่อมรดก อาจแนะนำประกันชีวิตเพิ่มเติม

    อย่างไรก็ตาม แม้ว่าการแข่งขันเงินฝากดิจิทัลยังคงมีอยู่แต่เชื่อว่าผลิตภัณฑ์เงินฝากของธนาคารมีอัตราฯ ที่สูงและแข่งขันได้ ดังนั้น ทางธนาคารฯ ตั้งเป้าหมายว่า ด้านเงินฝากรวมปี 2567 คาดว่าอยู่ที่ 187,000 ล้านบาท เติบโต 14% จากปี 2566 ในส่วนเงินฝากออมทรัพย์คาดว่าจะอยู่ที่ 101,000 ล้านบาท เติบโต 34% จากปี 2566

    “เงินฝากเป็นฐานให้เข้าถึงลูกค้าใหม่ ขณะที่เราจะขยาย Digital Journey ให้เชื่อมกับผลิตภัณฑ์อื่นๆ มากขึ้น ทำให้ปัจจุบันกว่า 77-78% จำนวนธุรกรรมการซื้อหุ้นกู้เกิดจากการที่ลูกค้ากดได้เองผ่านมือถือ หุ้นกู้ตลาดรองสามารถตั้งเวลาซื้อได้ 24 ชม.” ติยะชัย กล่าว



เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : LH Bank รุกตลาดเงินฝาก ตั้งเป้าโตปีละ 10% จากปัจจุบันที่ 240,000 ล้านบาท

ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine