BTS เปิดเผยงบการเงินปี 66/67 แม้รายได้รวมอยู่ที่ 24,387 ล้านบาท เติบโตเล็กน้อย แต่กลับมีผลขาดทุนสุทธิ 5,241 ล้านบาท เพราะมีผลขาดทุนจากการขายหุ้น เคอรี่ หรือ KEX ออกที่ 4,363 ล้านบาท จับตาผลขาดทุนจากรถไฟฟ้าสีชมพู - เหลือง ที่คนใช้ยังน้อย
บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ บีทีเอส กรุ๊ปฯ เปิดเผยว่า ปี 2566/2567 (สิ้นสุด ณ 31 มี.ค. 67) ว่า แม้รายได้รวม 24,387 ล้านบาท เติบโต 1% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) รายได้ยังเพิ่มขึ้นจาก รายได้ดอกเบี้ยรับ และรายได้การบริการ แต่ขาดทุนสุทธิส่วนที่เป็นของผู้ถือหุ้นของบริษัทฯ จำนวน 5,241 ล้านบาท จาก 3 สาเหตุหลัก
1) ผลกระทบจากการรับรู้รายการที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวของผลขาดทุนจากการด้อยค่าและจำหน่ายเงินลงทุน บริษัท เคอรี่ เอ็กซ์เพรส (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ KEX จำนวน 4,363 ล้านบาท
2) การบันทึกส่วนแบ่งขาดทุนจากเงินลงทุนในบริษัทร่วม (ส่วนใหญ่มาจากแรบบิท โฮล
ดิ้งส์ ควบคู่กับส่วนแบ่งขาดทุนที่เพิ่มขึ้นจากเงินลงทุนใน KEX)
3) ต้นทุนทางการเงินที่เพิ่มขึ้น
ทั้งนี้ บริษัทฯ มีกำไรจากการดำเนินงานที่เกิดขึ้นเป็นประจำก่อนค่าเสื่อมราคา ค่าตัดจำหน่าย ดอกเบี้ยและภาษี (Recurring EBITDA) จำนวน 8,138 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6.1% จากปีก่อนหน้า โดยมีค่าใช้จ่ายรวม เพิ่มขึ้น 24.7% จากปีก่อน
อย่างไรก็ตาม สัดส่วนรายได้หลักกว่า 67% ยังคงมาจากธุรกิจ MOVE ที่เป็นระบบขนส่งมวลชลทางราง และบริการเดินรถ ฯลฯ มีรายได้ 12,003 ล้านบาท ลดลง 2.4%YoY ธุรกิจ MIX เช่น ธุรกิจสื่อโฆษณา บริการดิจิทัล มีสัดส่วน 28%) มีรายได้ 5,112 ล้านบาท ลดลง 0.5%YoY ธุรกิจ MATCH ที่มีสัดส่วน 5% มีธุรกิจเช่น บริษัท แรบบิท โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) เป็นต้น มีรายได้ 851 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 32.7%YoY
สินทรัพย์รวม ณ 31 มี.ค. 2567 อยู่ที่ 272,082 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 0.4% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนโดยลูกหนี้ภายใต้สัญญากับหน่วยงานภาครัฐ และลูกหนี้ภายใต้สัญญาซื้อขายพร้อมติดตั้งระบบการเดินรถ (E&M) เพิ่มขึ้นจำนวน 7,932 ล้านบาท จาก 31 มี.ค. 2566
ทั้งนี้ ในระยะต่อไป ประเมินว่าของธุรกิจภายใต้บีทีเอส กรุ๊ป ส่วนใหญ่ไม่ได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงของอัตราเงินเฟ้อ เนื่องจากมีการรับรู้รายได้ตามสัญญากับทั้ง กทม. และภาครัฐ แต่ในปี 2566/67 บริษัทฯ ไม่ได้รับชำระรายได้ตามสัญญาดังกล่าวจากกทม. อันเนื่องมาจากข้อพิพาททางกฎหมายที่เกิดขึ้น อย่างไรก็ดีข้อกังวลเหล่านี้มีแนวโน้มคลี่คลายลง หลังจาก กทม. ได้ชำระเงินต้นพร้อมทั้งดอกเบี้ยค้างชำระหนี้ E&M จำนวนประมาณ 23,300 ล้านบาท เมื่อ 2 เม.ย. 2567 บริษัทฯ คาดว่าจะได้รับการชำระคืนหนี้ O&M ในไม่ช้า
ขณะเดียวกันในปี 2567/2568 รายได้ของธุรกิจ MOVE คาดว่าจะลดลงจากรายได้จากการให้บริการรับเหมาที่ลดลง เนื่องจากการก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพูและสายสีเหลืองที่แล้วเสร็จ แต่ยังทำกำไรยังจำกัดจากจำนวนเที่ยวเดินทางของผู้โดยสารอยู่ในระยะแรก (สะท้อนถึงจำนวนผู้ใช้งานยังไม่มากนัก)
ส่วนธุรกิจ MIX ด้านรายได้ทาง VGI คาดการณ์รายได้สำหรับปี 2567/68 อยู่ในกรอบ 6,000 - 6,500 ล้านบาท และได้จำหน่ายหุ้นทั้งหมดใน KEX ไปเมื่อ 22 มี.ค. 2567 เพื่อเลี่ยงการขาดทุนที่ส่งผลกระทบต่องบการเงินดังที่เกิดขึ้นในปีที่ผ่านมา ขณะที่ธุรกิจ MATCH คาดว่าปี 2567/2568 จะมีผลการดำเนินงานที่เติบโตขึ้นากแรบบิท โฮลดิ้งส์และ TNL
เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : บี.กริม เพาเวอร์ ซื้อกิจการ Malacha Hydropower Plant เข้าสู่ตลาดพลังงานหมุนเวียนสหรัฐฯ
ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine