แบงก์กรุงเทพเผย 9 เดือนแรกปี 67 มีกำไรสุทธิ 34,807 ล้านบาท โต 6.2%YoY ผลรายได้ดอกเบี้ยสุทธิยังโต - Forbes Thailand

แบงก์กรุงเทพเผย 9 เดือนแรกปี 67 มีกำไรสุทธิ 34,807 ล้านบาท โต 6.2%YoY ผลรายได้ดอกเบี้ยสุทธิยังโต

​​ธนาคารกรุงเทพเปิดงบ 9 เดือนแรกปี 67 มีกำไรสุทธิ 34,807 ล้านบาท เติบโต 6.2% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากรายได้ดอกเบี้ยสุทธิที่ยังเพิ่มขึ้น แต่ภาพรวมเงินให้สินเชื่อยังลดลง 1.2% จากสิ้นปีก่อน


    ทั้งนี้ ในไตรมาส 3 ปี 2567 เศรษฐกิจไทยยังคงขยายตัวต่อเนื่อง โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการใช้จ่ายและการลงทุนของภาครัฐ การส่งออกของไทยที่เพิ่มขึ้นตามอุปสงค์ของประเทศคู่ค้า และการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ ทางธนาคารยังเชื่อว่าช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2567 คาดว่าเศรษฐกิจไทยจะยังคงขยายตัวได้อย่างต่อเนื่อง จากภาคการท่องเที่ยว การส่งออก และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ
ขณะที่ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ผลกระทบจากน้ำท่วม มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของจีน ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ โดยเฉพาะในภูมิภาคที่สำคัญต่อการจัดหาพลังงานโลก และการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในช่วงปลายปีนี้

รายละเอียดที่น่าสนใจในงบการเงิน 9 เดือนแรกปี 2567 ของธนาคารกรุงเทพ ได้แก่

- กำไรสุทธิ (ส่วนที่เป็นของธนาคาร) อยู่ที่ 34,807 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6.2% จากงวดเดียวกันปีก่อน
- รายได้ดอกเบี้ยสุทธิอยู่ที่ 99,923 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.4% จากงวดเดียวกันปีก่อน
- ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิ (NIM) อยู่ที่ 3.05% (ระดับเดียวกับช่วงครึ่งปีแรก 2567)
- รายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยอยู่ที่ 31,110 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.1% จากงวดเดียวกันปีก่อน
- ค่าใช้จ่ายจากการดำเนินงานอยู่ที่ 60,652 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.3% อัตราส่วนค่าใช้จ่ายต่อรายได้จากการดำเนินงานอยู่ที่ 46.3%
- สินเชื่อรวมที่มีการด้อยค่าด้านเครดิต ณ สิ้นเดือน ก.ย. 67 อยู่ที่ 103,996 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.9% จากสิ้นเดือน มิ.ย. 67
- อัตราส่วนเงินให้สินเชื่อที่มีการด้อยค่าด้านเครดิตต่อเงินให้สินเชื่อรวมอยู่ที่ 3.4% ส่วนอัตราส่วนค่าเผื่อผลขาดทุนด้านเครดิตต่อเงินให้สินเชื่อที่มีการด้อยค่าด้านเครดิตอยู่ที่ 266.6%
- ธนาคารตั้งผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นจำนวน 27,204 ล้านบาท โดยพิจารณาภายใต้หลักความระมัดระวังและรอบคอบอย่างต่อเนื่อง

    ณ สิ้นเดือน ก.ย. 2567 ธนาคารมีเงินให้สินเชื่อจำนวน 2.63 ล้านล้านบาท ลดลง 1.2% จากสิ้นปีก่อน ในส่วนธนาคารมีเงินรับฝาก ณ สิ้นเดือน ก.ย. 2567 จำนวน 3.10 ล้านล้านบาท ลดลง 2.3% จากสิ้นปีก่อน และมีอัตราส่วนเงินให้สินเชื่อต่อเงินรับฝากอยู่ที่ 84.8%

    ขณะที่อัตราส่วนเงินกองทุนทั้งสิ้นอยู่ที่ 20.8% อัตราส่วนเงินกองทุนชั้นที่ 1 อยู่ที่ 17.4% และอัตราส่วนเงินกองทุนชั้นที่ 1 ที่เป็นส่วนของเจ้าของต่อสินทรัพย์เสี่ยงของธนาคารและบริษัทย่อยอยู่ที่ 16.6%



เรื่องราวอื่นๆ ที่น่าสนใจ : รัฐอัดฉีดเงินระยะสั้นอาจมีผลแค่ ‘ชั่วคราว’ แม้ GDP ไทยอาจโตขึ้นใน 1-2 ปี แต่ระยะยาวเสี่ยงโตต่ำ 2.5%

ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine