กลุ่มธนาคารยูโอบี ประกาศผลการดำเนินงานครึ่งปีแรกของปี 2563 โดยมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 1.56 พันล้านเหรียญสิงคโปร์ดอลลาร์ ปรับตัวลดลงร้อยละ 30 เมื่อเทียบกับปีก่อน ด้านผลการดำเนินงานไตรมาส 2 ของปี 2563 อยู่ที่ 703 ล้านเหรียญสิงคโปร์ดอลลาร์ ลดลงร้อยละ 18 และร้อยละ 40 เมื่อเทียบกับไตรมาสแรกของปี 2563 และไตรมาส 2 ของปี 2562 ตามลำดับ ทั้งนี้ ผลการดำเนินงานได้รับผลกระทบจากส่วนต่างของอัตราดอกเบี้ยที่ลดลงและการกันเงินสำรองสินเชื่อเชิงป้องกัน อันเป็นผลสืบเนื่องจากโรคระบาดที่กระทบไปทั้งเศรษฐกิจโลก
กลุ่มธนาคารยูโอบี ยังคงมั่นใจในการรักษาฐานะทางการเงินให้มั่นคงด้วยเงินกันสำรองสำหรับสินทรัพย์ที่ไม่ใช่สินทรัพย์ด้อยคุณภาพ มูลค่า 379 ล้านเหรียญสิงคโปร์ดอลลาร์ในไตรมาส 2 ของปี 2563 ภายใต้ภาวะเศรษฐกิจมหภาคที่อ่อนแอ กลุ่มธนาคารยูโอบียังคงรักษาตำแหน่งที่ดีในการดำเนินงานในสภาวะที่ไม่แน่นอนในอนาคต ด้วยอัตราส่วนเงินกองทุนชั้นที่1 ที่เป็นส่วนของเจ้าของที่แข็งแกร่งอยู่ที่ร้อยละ 14 และการเสริมสภาพคล่องอย่างเพียงพอ Wee Ee Cheong รองประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารยูโอบี กล่าวว่า “ในช่วงสองสามเดือนที่ผ่านมา การระบาดของโรคไวรัสโควิด-19 ได้เปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตและการทำงานของทั้งผู้ประกอบการและลูกค้ารายย่อยในการต้องรับมือกับความท้าทายที่ไม่เคยมีมาก่อน ผลประกอบการทางการเงินในช่วงครึ่งปีแรกของธนาคารเองก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงผลกระทบจากการที่เศรษฐกิจโลกเข้าสู่ภาวะถดถอยตกต่ำที่สุดในประวัติศาสตร์" “เรามุ่งมั่นที่จะสนับสนุนลูกค้า พนักงาน และชุมชนให้สามารถก้าวผ่านช่วงเวลาแห่งความท้าทายของวิกฤตไวรัสโควิด-19 ที่ยังคงเป็นภาวะคุกคามและไม่แน่นอน กลุ่มธนาคารยูโอบีได้ให้การสนับสนุนลูกค้ารายย่อยและผู้ประกอบการกว่า 1 ล้านรายทั่วภูมิภาคด้วยการพักการชำระสินเชื่อและมาตรการช่วยเหลื่ออื่นๆ คิดเป็นสัดส่วนประมาณร้อยละ 16 ของจำนวนสินเชื่อทั้งหมด ฐานะทางการเงิน ฐานเงินทุน และสภาพคล่องที่เข้มแข็งนี้ทำให้เราพร้อมเผชิญหน้ากับภาวะเศรษฐกิจมหภาคที่ไม่แน่นอนในอนาคต และปรับปรุงการบริการและความสามารถด้านดิจิทัลของเราให้ดียิ่งขึ้น เช่น การขยายบริการธนาคารดิจิทัลบนมือถือเต็มรูปแบบ TMRW สู่ประเทศอินโดนีเซียเมื่อไม่นานมานี้ เพื่อตอบสนองความต้องการของประชากรรุ่นใหม่ยุคดิจิทัล เรายังคงเชื่อมั่นในพื้นฐานและโอกาสที่แข็งแกร่งของประเทศต่างๆ ในเอเชีย และขอยึดมั่นต่อปณิธานในการสร้างแฟรนไชส์ที่ยั่งยืนในภูมิภาคนี้ในระยะยาวต่อไป” โรคระบาดฉุดรายได้ลดต่ำ ผลประกอบการทางการเงิน ครึ่งปีแรกของปี 2563 เปรียบเทียบกับครึ่งปีแรกของปี 2562 กลุ่มธนาคารยูโอบีประกาศผลกำไรสุทธิครึ่งปีแรกของปี 2563 ที่ 1.56 พันล้านเหรียญสิงคโปร์ดอลลาร์ ลดลงร้อยละ 30 เมื่อเทียบกับครึ่งปีแรกของปี 2562 อันเป็นผลจากการกันเงินสำรองรวมสำหรับสินทรัพย์ที่ไม่ใช่สินทรัพย์ด้อยคุณภาพเพิ่มขึ้นโดยคาดการณ์ถึงแนวโน้มเศรษฐกิจมหภาคที่ชะลอตัวลงจากโรคระบาด รายได้ดอกเบี้ยสุทธิลดลงร้อยละ 6 อยู่ที่ 3.05 พันล้านเหรียญสิงคโปร์ดอลลาร์ เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน จากส่วนต่างของอัตราดอกเบี้ยที่ลดลงและการลดอัตราดอกเบี้ยพร้อมกันของตลาดทั่วภูมิภาค เนื่องจากผู้กำหนดนโยบายต่างพยายามลดผลกระทบทางเศรษฐกิจและปกป้องความสามารถในการผลิตของเศรษฐกิจในประเทศ รายได้จากค่าธรรมเนียมและบริการรับสุทธิลดลงร้อยละ 4 อยู่ที่ 960 ล้านเหรียญสิงคโปร์ดอลลาร์ ส่วนใหญ่เป็นผลจากการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตที่ลดลงและค่าธรรมเนียมการเบิกเงินกู้ที่ชะลอตัวจากการหดตัวของเศรษฐกิจ แต่อย่างไรก็ตามค่าธรรมเนียมจากการบริหารจัดการความมั่งคั่งและค่าธรรมเนียมจากการบริหารจัดการกองทุนยังคงเพิ่มขึ้น ซึ่งส่วนใหญ่มาจากช่วงไตรมาสแรกของปี 2563 ส่วนรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยอื่นๆ ลดลงร้อยละ 12 เป็น 657 ล้านเหรียญสิงคโปร์ดอลลาร์ โดยรายได้จากการค้าและการลงทุนลดลงร้อยละ 11 เป็น 517 ล้านเหรียญสิงคโปร์ดอลลาร์ อันเป็นผลมาจากรายได้สุทธิจากการค้าลดลง แต่รายได้จากหลักทรัพย์เพื่อการลงทุนก็ยังเพิ่มสูงขึ้น ด้านผลการดำเนินงานจำแนกตามส่วนงานธุรกิจ รายได้ของกลุ่มลูกค้ารายย่อยลดลงเล็กน้อยอยู่ที่ 2.06 พันล้านเหรียญสิงคโปร์ดอลลาร์โดยที่ผลกระทบของส่วนต่างของอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำลงถูกปรับให้ลดลงจากการเติบโตของสินเชื่อรายย่อยและค่าธรรมเนียมจากการบริหารจัดการความมั่งคั่งที่สูงขึ้น ในขณะที่สินทรัพย์ภายใต้การจัดการของลูกค้ากลุ่มนี้ขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 9 เป็น 129 พันล้านเหรียญสิงคโปร์ดอลลาร์ ซึ่งร้อยละ 60 เป็นลูกค้าจากต่างประเทศทั่วทั้งเครือข่ายศูนย์บริหารจัดการความมั่งคั่งในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ส่วนกลุ่มลูกค้าธุรกิจรายใหญ่ของธนาคารมีรายได้คงที่อยู่ที่ 2.05 พันล้านเหรียญสิงคโปร์ดอลลาร์จากรายได้ข้ามประเทศที่เป็นไปตามกิจกรรมทางธุรกิจที่ชะลอตัวลงทั่วภูมิภาค รายได้กลุ่มธุรกิจ Global Markets มีผลการดำเนินงานดีขึ้นเนื่องจากรายได้ของกลุ่มธุรกิจได้รับปัจจัยบวกจากการลดอัตราดอกเบี้ยในช่วงต้นปี ค่าใช้จ่ายรวมลดลงร้อยละ 3 คิดเป็น 2.13 พันล้านเหรียญสิงคโปร์ดอลลาร์ ซึ่งเป็นผลมาจากการลดลงของค่าใช้จ่ายด้านบุคลากรและค่าใช้จ่ายอื่นที่ไม่กระทบต่อการดำเนินธุรกิจ อัตราส่วนค่าใช้จ่ายต่อรายได้สำหรับครึ่งปีแรกปี 2563 เพิ่มขึ้นอยู่ที่ร้อยละ 45.6 จากการลดลงของรายได้จากการดำเนินงาน เงินกันสำรองรวมเพิ่มขึ้นเป็น 682 ล้านเหรียญสิงคโปร์ดอลลาร์ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2563 จาก 144 ล้านเหรียญสิงคโปร์ดอลลาร์ของปีก่อน ซึ่งในขณะนั้นสภาพแวดล้อมด้านเครดิตยังอยู่ในเกณฑ์ค่อนข้างดี แนวโน้มด้านเศรษฐกิจมหภาคที่อ่อนแออย่างเห็นได้ชัดจากผลกระทบจากการแพร่ระบาดเชื้อโควิด-19ทำให้มีการกันเงินสำรองเชิงป้องกันเพิ่มขึ้นสำหรับสินทรัพย์ที่ไม่ใช่สินทรัพย์ด้อยคุณภาพ เงินกันสำรองสำหรับสินทรัพย์ด้อยคุณภาพก็เพิ่มสูงขึ้นเช่นกัน ส่วนใหญ่เป็นผลจากลูกค้ารายใหญ่ไม่กี่บัญชีในสิงคโปร์ ซึ่งทำให้ต้นทุนการให้สินเชื่อรวมสำหรับครึ่งปีแรกอยู่ที่ 52 จุด ปรับตัวสูงขึ้น 39 จุด เมื่อเทียบกับครึ่งปีแรกของปี 2562 ไตรมาส 2 ของปี 2563 เปรียบเทียบกับไตรมาส 2 ของปี 2562 ผลกำไรสุทธิไตรมาส 2 ของปี 2563 อยู่ที่ 703 ล้านเหรียญสิงคโปร์ดอลลาร์ ลดลงร้อยละ 40 เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน ซึ่งส่วนใหญ่มาจากส่วนต่างของอัตราดอกเบี้ยที่ลดลงและต้นทุนการให้สินเชื่อที่เพิ่มขึ้น คุณภาพของสินทรัพย์ อัตราส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพต่อสินเชื่อรวมของกลุ่มธนาคารยูโอบีอยู่ที่ร้อยละ 1.6 ในไตรมาส 2 ของปี 2563 ไม่เปลี่ยนแปลงจากไตรมาสก่อน เหตุเพราะการก่อตัวของสินเชื่อด้อยคุณภาพในไตรมาสนี้อยู่ในระดับต่ำ มีการกันเงินสำรองสำหรับสินทรัพย์ที่ไม่ใช่สินทรัพย์ด้อยคุณภาพเพิ่มขึ้นอีก 379 ล้านเหรียญสิงคโปร์ดอลลาร์ในไตรมาส 2 ของปี 2563 ส่งผลให้อัตราส่วนการกันเงินสำรองสำหรับสินทรัพย์ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้มีประสิทธิภาพขึ้นจากร้อยละ 96 เป็นร้อยละ 230 หากนับรวมหลักประกันฐานะเงินกองทุน ฐานะเงินทุน และสภาพคล่อง สภาพคล่องและฐานะเงินทุนของกลุ่มธนาคารยูโอบียังคงแข็งแกร่ง โดยมีอัตราส่วนการดำรงสินทรัพย์สภาพคล่องในสกุลเงินสิงคโปร์ดอลลาร์และสกุลเงินอื่นเฉลี่ยที่ร้อยละ 136 และอัตราส่วนการจัดหาเงินทุนสุทธิที่ร้อยละ 119 สูงกว่าเกณฑ์ขั้นต่ำที่กำหนดไว้มาก อัตราส่วนสินเชื่อต่อเงินรับฝากคงที่อยู่ที่ร้อยละ 85.8 อัตราส่วนเงินกองทุนชั้นที่ 1 ที่เป็นส่วนของเจ้าของอยู่ที่ร้อยละ 14.0 ทำให้กลุ่มธนาคารพร้อมสนับสนุนลูกค้าให้ก้าวผ่านช่วงเวลาที่ท้าทายนี้ไปได้ อ่านเพิ่มเติม: “การเลือกสินทรัพย์ลงทุน” ในครึ่งปีหลัง 2563ไม่พลาดเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ของเรา ติดตามเราได้ที่ เพจเฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine