สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย แนะนักลงทุนเพิ่มความเสี่ยงลงทุนหุ้นกู้ เผยยอดคงค้างรวม 16.5 ล้านล้านบาท ขณะที่ 7 เดือนแรกของปี 2566 เอกชนออกหุ้นกู้เกือบ 7 แสนล้านบาท มีหุ้นกู้ผิดนัดชำระหนี้ รวม 7 บริษัท รวมมูลค่ากว่า 19,000 ล้านบาท JKN รายล่าสุด แอน จักรพงษ์ ยืนยันชำระครบปีนี้
ตลาดตราสารหนี้ไทยยังคงร้อนแรงอย่างต่อเนื่อง จากข้อมูลสมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย (ThaiBMA) เผยปัจจุบันมียอดตราสารหนี้คงค้างในระบบ 16.5 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็น 95% ของจีดีพีประเทศไทย และมีบริษัททยอยผิดนัดชำระหนี้อย่างต่อเนื่อง กรณีใหญ่สุดในปีนี้ คือ STARK ที่มียอดผิดนัดชำระหนี้รวม 9,200 ล้านบาท และมีนักลงทุนได้รับผลกระทบ 4,500 ราย ล่าสุด JKN ของแอน จักรพงษ์ จักราจุฑาธิบดิ์ ที่ขอเลื่อนชำระคืนเงินต้นและดอกเบี้ยหุ้นกู้ มีครบกำหนดชำระ 1 ก.ย. 2566
แอน จักรพงษ์ ให้เหตุผลในการขอเลื่อนชำระหนี้ครั้งนี้ว่า เนื่องด้วยสภาวะเศรษฐกิจโลก และเศรษฐกิจไทยที่ถดถอย และ ความอ่อนไหวของตลาดพันธบัตรในปีนี้ ทำให้ บริษัทฯ ต้องขอชำระคืนหุ้นกู้ ของบริษัท เจเคเอ็น โกลบอล กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ครั้งที่ 2/2563 ครบกำหนดไถ่ถอนปี 2566 (“หุ้นกู้รุ่น JKN239A”) ถึงวันครบกำหนดไถ่ถอนหุ้นกู้ในวันที่ 1 กันยายน 2566 จำนวนเงินต้นและดอกเบี้ยทั้งสิ้น 609,981,369.86 บาท ไม่เต็มจำนวน โดยจะชำระคืนเงินต้นและดอกเบี้ยรวม 156,600,000 บาท ในวันครบกำหนดไถ่ถอนหุ้นกู้ (1 กันยายน 2566) โดยคงเหลือยอดค้างชำระจำนวน 443,400,000 บาท บริษัทฯจะขอมติผู้ถือหุ้นกู้โดยการเรียกประชุมผู้ถือหุ้นกู้ เพื่อขอเลื่อนกำหนดชำระคืนเงินต้นและดอกเบี้ยโดยเร็วที่สุด
บริษัทหลักทรัพย์หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด มองว่า ผลประกอบการ JKN ในช่วงครึ่งปีหลัง 2566 จะดีกว่าช่วงครึ่งปีแรก เนื่องจากการรับรู้รายได้จากธุรกิจบริหารจัดการลิขสิทธิ์ขององค์กรนางงามจักรวาล (MUO) ประเทศเอลซัลวาดอร์ราว 566 ล้านบาท ส่วนใหญ่จะเข้ามาในไตรมาส 4 ที่มีการจัดงาน ขณะที่ธุรกิจ Commerce มีแผนขยายสินค้าในตลาดใหม่ๆ มากขึ้นและปรับกลยุทธ์เน้นขายสินค้า House Brand มากขึ้นช่วยให้อัตรากำไรดีขึ้น คาดว่าจะช่วยให้สภาพคล่องทางการเงินมีแนวโน้มดีขึ้น
อย่างไรก็ตาม ระยะสั้นแนะนำให้ “หลีกเลี่ยงการลงทุน” ออกไปก่อน และปรับคำแนะนำเป็น “Under Review” จนกว่าบริษัทจะมีแนวทางแก้ปัญหาที่ชัดเจนออกมา ซึ่งประเด็นการผิดนัดชำระหนี้ดังกล่าวมีผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน และแผนในการออกหุ้นกู้ในอนาคตเพื่อ refinance จะทำได้ลำบากขึ้น
แนะเพิ่มความเสี่ยงลงทุนหุ้นกู้
ดร.สมจินต์ ศรไพศาล กรรมการผู้จัดการ สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย (ThaiBMA) เปิดเผยในรายการ TISCO Fund Station ระบุว่า ณ สิ้นเดือนก.ค. 2566 มูลค่าคงค้างตราสารหนี้อยู่ที่ 16.5 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็น 95% ของจีดีพี ตราสารหนี้ ซึ่งรวมถึงพันธบัตรรัฐบาล และหุ้นกู้ภาคเอกชน ถือเป็นหนึ่งเสาหลักการระดมทุนในระบบเศรษฐกิจไทย เทียบกับสินเชื่อธนาคารมูลลค่า 18.7 ล้านล้านบาท การระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ 19.1 ล้านล้านบาท ซึ่งปีนี้ตราสารหนี้มีการจ่ายดอกเบี้ยล่าช้า และมีการผิดนัดชำระหนี้ กรณีใหญ่สุด คือ STARK ที่มีมูลค่า 9,200 ล้านบาท และมีนักลงทุนได้รับผลกระทบ 4,500 ราย
ปัจจุบัน มูลค่าคงค้างตราสารหนี้ภาคเอกชนระยะยาวอยู่ที่ 4.5 ล้านล้านบาท กลุ่มหลักอยู่ในอุตสาหกรรมพลังงาน อสังหาริมทรัพย์ และสถาบันการเงิน มีสัดส่วนรวมกันประมาณ 42.3% ของมูลค่าหุ้นกู้ระยะยาวทั้งหมด ทั้งนี้หากแบ่งตามอันดับเครดิต ส่วนใหญ่ 93% อยู่ใน Inevestment Grade และอันดับเครดิต A มีมูลค่าสูงสุด
ส่วนปีนี้มีการออกหุ้นกู้ประมาณ 700,000 ล้านบาท และเพิ่มขึ้นในกลุ่มอันดับเครดิต A, BBB และ Non-rated เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดย 3 อันดับแรก ได้แก่ สถาบันการเงิน 1.31 แสนล้านบาท พลังงาน 1.08 แสนล้านบาท และอสังหาริมทรัพย์ 1.06 แสนล้านบาท
รายงานจากสมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย (ThaiBMA) พบว่า หุ้นกู้ที่มีการผิดนัดชำระหนี้ (Default Payment) ณ 1 ก.ย.66 มีอยู่ทั้งหมด 7 บริษัท จำนวน 23 รุ่น รวมมูลค่ากว่า 19,039.96 ล้านบาท
“ปัญหาผิดนัดชำระหนี้ที่เกิดขึ้น สะท้อนถึงโลกของความเป็นจริงที่เกิดขึ้นในขณะนี้ บนภาพการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ มีทั้งบริษัทที่ฟื้นตัวได้ดี และบริษัทที่ยังบาดเจ็บจากสถานการณ์โควิดที่ยาวนานถึง 3 ปี การผิดนัดชำระหนี้ การยืดอายุ รวมไปถึงพฤติกรรมประพฤติมิชอบ กระทบต่อบรรยากาศการลงทุน แต่ไม่ถึงกับเทขาย สะท้อนถึงเสถียรภาพของตลาดตราสารหนี้ของไทย และทำให้นักลงทุนตระหนักถึงความเสี่ยงของการลงทุนในหุ้นกู้” ดร.สมจินต์กล่าว
ทั้งนี้ ทิศทางการลงทุนในตราสารหนี้ ต้องดูทิศทางของอัตราดอกเบี้ยทั้งตลาดโลกและในประเทศไทย ซึ่งแนวโน้มการขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟดมีแนวโน้มชะลอตัวลงแล้ว แต่เงินเฟ้อยังไม่จบ ทำให้อัตราดอกเบี้ยงคงตัวในระดับสูงนานกว่าที่คาด ส่วนทิศทางดอกเบี้ยของไทย ขึ้นอยู่กับนโยบายของธนาคารแห่งประเทศไทย รวมถึงนโยบายของรัฐบาลใหม่ และผลกระทบทางเศรษฐกิจที่จะเกิดขึ้น ทำให้ผู้ที่ต้องการระดมทุนต้องทำการบ้านอย่างหนัก เพื่อแสดงถึงความสามารถในการชำระหนี้คืน รวมถึงการสื่อสารเพื่อสร้างความมั่นใจ ขณะที่นักลงทุนต้องศึกษาข้อมูลมากขึ้นก่อนการลงทุนเพื่อบริหารความเสี่ยงที่เกิดขึ้นจากการลงทุน
สำหรับแนวโน้มการลงทุนตลาดหุ้นไทยเดือนก.ย. 2566 บริษัทหลักทรัพย์เอเซียพลัส จำกัด มองว่า เดือนนี้จะเป็นช่วงเยียวยาตลาดหุ้นไทย แม้ปัจจัยภายนอกจะคลุมเคลือทั้งเรื่องดีและเรื่องร้าย แต่ด้วยปัจจัยการเมืองในประเทศที่เริ่มผ่อนคลาย จะช่วยสนับสนุนให้ SET Index มีโมเมนตัมที่ดีขึ้น
ขณะที่บริษัทหลักทรัพย์ทรีนิตี้ จำกัด ประเมินครึ่งเดือนแรกมีแนวโน้มที่ดัชนีจะปรับตัวดีกว่าครึ่งเดือนหลัง ประเมินกรอบการเคลื่อนไหวของ SET จะมีแนวต้านอยู่ที่ระดับจิตวิทยา 1,600 จุด โดยมีกรอบแนวรับอยู่ที่บริเวณ 1,500-1,520 จุด
อ่านเพิ่มเติม : LINE MAN Wongnai และ LINE ประเทศไทย ซื้อหุ้นทั้งหมดของ Rabbit LINE Pay จากผู้ถือหุ้นเดิม
ไม่พลาดบทความและเรื่องราวน่าสนใจอื่นๆ ติดตามเราได้ที่เฟซบุ๊ก Forbes Thailand Magazine